ความร้ายแรงของโรคไข้หวัดใหญ่ ในภาวะการระบาดของโควิด-19

13 พฤษภาคม 2563, ประเทศไทย – ภาวะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน ได้สร้างความวิตกกังวลและส่งผลกระทบอย่างหนักต่อประชากรทั่วโลก ทั้งยังมีจำนวนของผู้ป่วยและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา  แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงหน้าฝน ยังคงมีอีกโรคที่ทำให้หลายฝ่ายต้องเฝ้าระวัง นั่นคือ “โรคไข้หวัดใหญ่” ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจ ที่สามารถแพร่กระจายไปสู่คนทุกเพศทุกวัยได้เช่นเดียวกับโควิด-19 เพียงแค่ช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จนถึง 28 เมษายน 2563 ในประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่มากกว่าโควิด-19 ถึง 33 เท่า ,  พบผู้เสียชีวิตสูงถึง 2 เปอร์เซ็นต์ ทั่วโลก และอัตราการเสียชีวิตยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเป็น 26 เปอร์เซ็นต์ ในกลุ่มผู้สูงอายุ   ซึ่งในปีนี้จะเป็นครั้งแรกที่มีโรคระบาดทั้ง 2 โรคพร้อมกัน  

นอกจากความเสี่ยงที่จะติดโรคใดโรคหนึ่งแล้ว ประชาชนยังมีโอกาสที่จะติดเชื้อร่วมกัน (co-infection) จากทั้งไข้หวัดใหญ่และโควิด-19 ได้  ซึ่งทำให้มีอาการรุนแรงและยิ่งทำให้การรักษามีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
นายแพทย์ วีรวัฒน์ มโนสุทธิ รองผู้อำนวยการสถาบัน กลุ่มแผนปฏิบัติการชาติฯ สถาบันบำราศนราดูร กล่าวว่า
“โรคไข้หวัดใหญ่มักระบาดในหน้าฝน  ซึ่งมีความน่ากังวลเพราะอาการแสดงของไข้หวัดใหญ่และโควิด-19 มีความคล้ายคลึงกันมาก และสามารถแพร่กระจายสู่ผู้อื่นเมื่อมีการไอหรือจามได้เช่นเดียวกัน   โดยถึงแม้ในปัจจุบันวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะมีแพร่หลาย  แต่พบว่าคนที่ได้รับวัคซีนแล้วยังคงสามารถป่วยจากไข้หวัดใหญ่ได้  เนื่องจากวัคซีนอาจมีประสิทธิภาพเพียง 40-60 เปอร์เซ็นต์  ขึ้นกับสายพันธุ์ของไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดในแต่ละปี  ล่าสุดพบข้อมูลว่าผู้ป่วยติดเชื้อร่วมกันได้ทั้ง 2 โรค  ซึ่งลำพังเพียงแค่โควิด-19 ก็เพิ่มภาระงานและส่งผลต่อทรัพยากรทางการแพทย์มากเพียงพอแล้ว  เราจึงต้องหาวิธีจัดการกับไข้หวัดใหญ่ในช่วงเวลานี้ให้ไม่ซ้ำเติมกันเข้าไปอีก”
การติดเชื้อทั้งสองโรคในเวลาเดียวกันหรือ co-infection จะเป็นการเพิ่มความรุนแรงของโรค  ซึ่งเป็นอันตรายในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงสูง  เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว หญิงตั้งครรภ์  โดยการศึกษาที่สหรัฐอเมริกาและจีนพบว่าการติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้ออื่นๆร่วมกันได้สูงถึง 20  และ 80 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ และการติดเชื้อร่วมกับโควิด-19 กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ พบเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ    ที่น่าตกใจกว่านั้นคือการติดเชื้อร่วมกันนั้นเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตสูงถึง 29-55 เปอร์เซ็นต์
“อาการที่เข้าเกณฑ์การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ประกอบด้วย ไข้สูง 38-40 องศาเซลเซียส ปวดศีรษะ คัดจมูกหรือน้ำมูกไหล เจ็บคอ ไอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และร่างกายอ่อนเพลีย หากพบว่ามีอาการดังกล่าวผู้ป่วยควรรีบพบแพทย์ โดยเฉพาะในกรณีที่อาการไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาด้วยยาต้านไวรัส  ซึ่งยาต้านไวรัสมีประโยชน์ในการบรรเทาอาการของไข้หวัดใหญ่ได้ภายใน 2.3 ถึง 4 วัน ,  ลดความเสี่ยงการเกิดโรคแทรกซ้อน และช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อไวรัสไปสู่คนใกล้ชิดได้ด้วย ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในช่วงเวลาที่ทุกคนกักตัวในบ้านกับครอบครัวขณะนี้  โดยยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่จะมีประสิทธิผลที่ดีที่สุดเมื่อรับประทานภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากมีอาการ  และในปัจจุบันมีทางเลือกยาต้านไวรัสหลายชนิด ทั้งชนิดรับประทาน และสูดดมทางจมูกให้เลือกใช้  โดยจะต้องคำนึงถึงทั้งประสิทธิผลและความปลอดภัยไปพร้อมกัน”
นายแพทย์ วีรวัฒน์ กล่าวเสริม
ปัจจุบัน การรับมือของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้เกิดข้อจำกัดของทรัพยากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น จำนวนเตียงผู้ป่วยที่ลดลง และที่สำคัญที่สุดคือบุคลากรทางการแพทย์อาจมีความเหนื่อยล้า จากการที่ต้องทำงานอย่างหนักและต่อเนื่องในช่วงของการแพร่ระบาด โดยปัญหาเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะทวีคูณหากคลื่นลูกที่สองในการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาชนกับฤดูไข้หวัดใหญ่ การใช้เทคโนโลยีการรักษาไข้หวัดใหญ่  เช่น ยาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพ  จะสามารถลดระยะเวลาการรักษาที่โรงพยาบาลและแบ่งเบาภาระหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ได้ ทั้งยังสามารถช่วยป้องกันการแพร่กระบาดของไวรัสไข้หวัดใหญ่และการติดเชื้อร่วมกันได้อีกด้วย ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซด์ของโรช ไทยแลนด์ https://www.roche.co.th/th/disease-areas/influenza/Influenza-vs-COVID-19.html




Share:

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Recent Posts

ค้นหาบล็อกนี้

Contact Us ::

📲 (+66) 081 4345154
✉️ Insightoutstory@gmail.com

Add Line📲 Click 👇👇

Translate

🚉 ช.ส.ท.พาเที่ยว นครฯ

Review By Nichapa

POPULAR NEWS

Fanpage Facebook

ป้ายกำกับ

คลังบทความของบล็อก