อินฟอร์มาฯ ผนึกกำลังภาครัฐ-เอกชน เดินหน้าจัดงาน ASEAN Sustainable Energy Week และ Electric Vehicle Asia 2022 ปักหมุดดันไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

 

งาน ASEAN SUSTAINABLE ENERGY WEEK (ASEW) และ Electric Vehicle Asia (EVA) 2022 มหกรรมอุตสาหกรรมด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุมที่สุดในภูมิภาค ผนึกกำลังพันธมิตรภาครัฐและเอกชน เดินหน้าจัดงาน ชูแนวคิดผสานพลังร่วมกันสร้างการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน

กรุงเทพฯ--31 ส.ค.-- อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ พร้อมด้วยภาครัฐและเอกชน เดินหน้าจัดงาน ASEAN Sustainable Energy Week และ Electric Vehicle Asia 2022 งานแสดงเทคโนโลยีและการประชุมนานาชาติด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม การจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่ครบวงจรที่สุดในภูมิภาคอาเซียน โดยปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Enhancing Energy Transition to Carbon Neutrality for a Sustainable Future” เพื่อร่วมกันขานรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนตลอดจนขานรับอุปสงค์การเลือกใช้ยานยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภคในปัจจุบัน ควบคู่ไปกับการปักหมุดให้ไทยให้เป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค (EV Hub) 

ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน กล่าวว่า เราเดินหน้าตามแผนพลังงานแห่งชาติ 2022 (NEP2022) เพื่อเป้าหมายมุ่งสู่ Carbon Neutrality ในปี 2050 ไม่ว่าจะเป็น นโยบาย 30@30 การตั้งเป้าการผลิตรถ ZEV ให้ได้อย่างน้อย 30% หรือจะเป็นการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนในอนาคต รวมทั้งผลักดันนโยบาย 4D1E ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การผลิตไฟฟ้าแบบกระจายตัว เปิดเสรีภาคพลังงาน รวมถึงการใช้พลังงานไฟฟ้าสีเขียว ซึ่งในปีนี้ทางกระทรวงฯ ได้เป็นส่วนหนึ่งของการส่งมอบองค์ความรู้และนำเสนอนโยบายที่สำคัญต่างๆเพื่อกำหนดทิศทางพลังงานของไทยในอนาคตผ่านการจัดงาน ASEW และ EVA 2022 เราเชื่อว่าเวทีนี้เป็นหนึ่งโอกาสสำคัญที่จะประกาศให้ทั่วโลกรู้ว่า ประเทศไทยเรามีความพร้อมที่จะก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

ด้าน นายกฤษฎา อุตตโมทย์ นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) กล่าวว่า ทางสมาคมฯ ทำงานร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความรู้อันจะนำไปสู่การสร้างความพร้อมอย่างรอบด้านในการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้ามาปรับใช้ในประเทศไทย รวมถึงการเป็นส่วนหนึ่งของการจัดงาน Electric Vehicle Asia (EVA) ในทุกปี และสำหรับปีนี้เรายังคงขับเคลื่อนอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการส่งมอบประสบการณ์และความรู้ใหม่ผ่านหัวข้อสัมมนาและส่วนจัดแสดงพิเศษจากทางสมาคมฯ และไฮไลท์ที่สำคัญคือการจัดประชุมนานาชาติ International Electric Vehicle Technology Conference and Exhibition (iEVTech 2022) โดยจัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 7 ภายใต้แนวคิด “Future Mobility Aspiration through Bio-Circular-Green Economy within APEC” ซึ่งเราเชื่อมั่นว่างาน EVA ครั้งนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในไทย

นายทรงพล เทพนำโสมนัสส์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจเอนเนอร์ยี่โซลูชัน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หนึ่งในพันธกิจของ OR คือการสร้าง Seamless Mobility มุ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะต้องการพลังงานชนิดใดสำหรับการเดินทาง รวมถึงมุ่งให้การเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ จึงมุ่งผลักดันการใช้พลังงานไฟฟ้าสำหรับการเดินทางและการขนส่งให้เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในประเทศ ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญสู่การเป็นผู้นำในระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) โดยปัจจุบัน OR ได้เปิดให้บริการสถานีชาร์จไฟฟ้า EV Station PluZ 114 แห่ง ครอบคลุมเส้นทางหลักทั่วประเทศ และมีแผนขยายเป็น 450 แห่งภายในปี 2565 นี้ การร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการจัดงาน EVA ในปี้นี้ OR มีเป้าหมายที่สำคัญในการนำองค์ความรู้ต่างๆ มาจัดแสดง โดย OR พร้อมที่จะร่วมผลักดันและขานรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ตอบสนองความต้องการในการเลือกใช้ยานยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภคในปัจจุบัน ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค (EV Hub) ต่อไปในอนาคต สอดคล้องกับเป้าหมายในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment) โดยจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ครอบคลุมตลอดทั้งการดำเนินธุรกิจ รวมถึงเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด และตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon-neutrality) ภายในปี 2030 ซึ่งจะเป็นรากฐานที่นำไปสู่เป้าหมายการเป็นองค์กรที่การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Carbon Zero) ในปี 2050

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวว่า สำหรับการจัดงาน ASEAN Sustainable Energy Week และ Electric Vehicle Asia 2022 ในครั้งนี้เรากลับมาจัดงานในรูปแบบปกติ Next Normal โดยได้ชูแนวคิด “Enhancing Energy Transition to Carbon Neutrality for a Sustainable Future” หรือ การร่วมกันสร้างการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน อย่างไรก็ดีงาน EVA ได้ชูแนวคิด “Driving Towards A Sustainable Low Carbon Society With E-Mobility” หรือขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืนด้วยยานยนต์พลังงานสะอาด ซึ่งไฮไลท์ที่สำคัญของการจัดงานในครั้งนี้ ได้รวบรวมงานแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ครอบคลุมพลังงานทางเลือกในรูปแบบต่างๆ ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ การบริหารจัดการพลังงานด้วยเทคโนโลยี 5G และ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน และการจัดการสิ่งแวดล้อมและมลพิษ “

การจัดงานในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือที่ดีจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งผู้ประกอบการในด้านพลังงาน มีผู้จัดแสดงงานกว่า 1,200 แบรนด์ชั้นนำจาก 25 ประเทศ และรวมผู้เชี่ยวชาญจากทั้งประเทศและต่างประเทศร่วมจัดการประชุมระดับนานาชาติด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม อาทิ Renewable Energy Asia International Conference, iEVTech Conference, Asia Urban Energy Assembly, ASEAN Bioenergy and Bioeconomy Conference, Thailand Connext เป็นต้น คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 25,000 ราย จากทั่วภูมิภาคอาเซียน เราเชื่อมั่นว่าการจัดงานในครั้งนี้ จะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจ ได้รับความรู้เชิงลึก และเตรียมความพร้อมแก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมด้านพลังงานสิ่งแวดล้อมและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับกับความต้องการของตลาดหลังเศรษฐกิจเข้าสู่การฟื้นตัวและสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายในอนาคต“ นายสรรชาย กล่าวเสริม

เตรียมพบกับงาน ASEAN Sustainable Energy Week 2022 นิทรรศการเทคโนโลยีและการประชุมนานาชาติด้านพลังงานทดแทน สิ่งแวดล้อม การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และงาน Electric Vehicle Asia 2022 หรือ งานแสดงเทคโนโลยีและการประชุมนานาชาติเฉพาะทางด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า โดยปีนี้จัดควบคู่กับงาน Boilex Asia และ Pumps & Valves Asia 2022 งานแสดงเทคโนโลยีเฉพาะทางด้านหม้อไอน้ำ ภาชนะรับแรงดัน ปั๊ม วาล์ว ท่อ ข้อต่อและฮาร์ดแวร์ระดับภูมิภาค และงาน Thai Water Expo 2022 งานแสดงเทคโนโลยีและการประชุมนานาชาติด้านเทคโนโลยีการจัดการน้ำและน้ำเสียงานเดียวในประเทศไทย จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-16 กันยายน 2565 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.asew-expo.com หรือโทร 02-036-0500

Share:

The Play Deck ขอนำเสนอ ’𝟗𝟎𝐬 𝐍𝐢𝐧𝐞 𝐍𝐢𝐠𝐡𝐭 𝐏𝐚𝐫𝐭𝐲 ที่ โอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์ กรุงเทพฯ

 

ในวันดี วันที่ 9 เดือน 9 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ให้กลิ่นอายของดนตรีแนวเพลงจากยุค 90 ขับกล่อมคุณยามค่ำคืนวันศุกร์ ในบรรยากาศชิวๆ ริมสระน้ำ ที่ Play Deck ไปกับเรา และเพลิดเพลินกับเครื่องดื่มน้ำอัดลม เบียร์ และไวน์แบบไม่จำกัดถึง 4 ชั่วโมง !

#พิเศษ ร่วมสนุกลุ้นรับรางวัลห้องพัก 1 คืน ที่ โอเรียนเต็ล เรสซิเดนท์ กรุงเทพฯ และลุ้นของรางวัลอีกมากมายกับ Lucky Draw ภายในงาน!

𝗘𝗩𝗘𝗡𝗧 𝗜𝗡𝗙𝗢 รายละเอียดงาน

  • วันที่: ศุกร์ ที่ 9 กันยายน 2565
  • เวลา : 18.00 น.- 22.00 น.
  • แนวเพลง: วงดนตรีสด แนวเพลงยุค 90
  • สถานที่: The Play Deck ชั้น 4 โรงแรมโอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์ กรุงเทพฯ
  • 𝗧𝗜𝗖𝗞𝗘𝗧𝗦 ราคาบัตร

💥 Early Bird ▸ 850 บาทสุทธิ (ซื้อก่อนวันที่ 2 กันยายน 2565)

💥 ราคาปกติ & บัตรหน้าประตู ▸ 999 บาทสุทธิ

ราคารวมน้ำอัดลม เบียร์ และเฮาส์ไวน์ #แบบไม่อั้น 4 ชั่วโมง!!! 🍻🍷

🌐 ซื้อบัตรออนไลน์ได้เลยวันนี้ คลิก https://bit.ly/E-TicketPD09

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและซื้อบัตรได้ที่:

📞 โทร 02-125-9012

📲 ไลน์ @orientalresidence

Share:

เปิดแล้ว!! La Borne Point - ลา บล็อง พ้อยท์ ร้านคาเฟ่กลางสวนดอกไม้ แลนด์มาร์คแห่งใหม่ในจังหวัดเพชรบูรณ์


Grand Opening !!!

La Borne Point - ลา บล็อง พ้อยท์ คาเฟ่แห่งใหม่ในจังหวัดเพชรบูรณ์ ร้านคาเฟ่ที่นำกาแฟสายพันธุ์ อาราบิก้าแท้100% จากไร่ที่ใหญ่ที่สุดบนเขาค้อผ่านการคั่วสดอย่างพิถีพิถัน เพื่อความหอมกรุ่นรสชาติละมุนลิ้น ให้คอกาแฟได้จิบท่ามกลางสวนดอกไม้นานาชนิด สวนร่มรื่น และวิวภูเขา พร้อมมุมถ่ายรูปสุดปัง! แลนด์มาร์คแห่งใหม่ในจังหวัดเพชรบูรณ์ที่สายคาเฟ่ห้ามพลาด!

นายกฤษณ์ คงเมือง ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดร้าน “La Borne Point - ลา บล็อง พ้อยท์” อย่างเป็นทางการ โดยมี นายวัชร์ยาวุฒิ วัชรประภาธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาราบิกา ณ เขาค้อ จำกัด และร้าน ลา บล็อง พอยท์ พร้อมด้วย นางวัชร์สุภางค์ วัชรประภาธรรม, นายวัฒน์ธนพล วัชรประภาธรรม  และนางสาวชวินทร์กานต์ วัชรประภาธรรม ให้การต้อนรับ และชงกาแฟแก้วแรกให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในพิธีเปิดร้านอย่างเป็นทางการ

นอกจากนี้ยังได้รับเกียรติจาก นายชัชวาลย์ เบญจสิริวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด , นายธงชัย กฤตยามงคลชัย ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบูรณ์, นายชัยสิทธิ์ ชัยสัมฤทธิ์ผล นายอำเภอเมืองเพชรบูรณ์, นายอมเรศ พรหมราช อัยการจังหวัดเพชรบูรณ์, นางสาวสุกัญญา องค์วิเศษไพบูลย์ แรงงานจังหวัดเพชรบูรณ์, นายประกอบบุญ กาฬษร นายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าพล, นางสาวญาติกา แก้วบริสุทธิ์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพิษณุโลก เข้าร่วมแสดงความยินดี

คุณชวินทร์กานต์ วัชรประภาธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อาราบิกา ณ เขาค้อ จำกัด และผู้บริหารร้าน “ลา บล็อง พอยท์” เผยว่า “La Borne” มาจากภาษาฝรั่งเศส ซึ่งแปลมาจากภาษาอังกฤษ คำว่า “landmark” โดยคอนเซ็ปต์ของ “ลา บล็อง พ้อยท์” คือร้านกาแฟที่เป็นแลนด์มาร์คอีกหนึ่งแห่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ที่ทุกคนต้องมาเช็คอิน และจิบกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้าแท้ 100% ภายใต้แบรนด์ “อาราบิกา ณ เขาค้อ” ที่ผลิตได้เองในจังหวัดเพชรบูรณ์

“อาราบิกา ณ เขาค้อ” เป็นไร่กาแฟขนาดใหญ่ ซึ่งมีต้นกาแฟ 17,000 ต้น และมีกระบวนการผลิตกาแฟครบวงจร เริ่มตั้งแต่การปลูก คัดเมล็ด และคั่วอย่างพิถีพิถัน ที่นี่ยังเป็น “ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงด้านการปลูกกาแฟ ภายใต้โครงการพัฒนาลุ่มน้ำเข็กอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” มาเผยแพร่ให้กับผู้ที่ชื่นชอบในการดื่มกาแฟให้ได้รู้จักมากยิ่งขึ้นและเข้าถึงง่าย ทั้งยังตั้งใจให้ “ลา บล็อง พ้อยท์” เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่อีก 1 จุดในจังหวัดเพชรบูรณ์

ด้วยผลผลิตเมล็ดกาแฟที่มีจำนวนมาก จึงได้มีการจัดตั้ง บริษัท อาราบิกา ณ เขาค้อ จำกัด ขึ้น เพื่อจัดทำกระบวนการผลิตกาแฟทั้งหมดให้ครบวงจร ตั้งแต่การปลูก เก็บ คั่ว และเปิดร้านกาแฟสดไว้บริการให้กับนักท่องเที่ยว และผู้ที่มาเยือนได้ดื่มด่ำกับกาแฟสดแท้ๆจากไร่ของเรา พร้อมกับได้ชื่นชมธรรมชาติที่อยู่ท่ามกลางหุบเขา สวนดอกไม้นานาพันธุ์ที่หาดูได้ยาก โอบล้อมด้วยไม้ยืนต้น ไม้ผล และต้นกาแฟกว่า 17,000 ต้นบนเขาค้อ 

ในนามของ “อาราบิกา ณ เขาค้อ” ทั้งหมดจึงเป็นที่มาที่อยากนำกาแฟจากไร่บนเขาค้อมาเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาของแรงบันดาลใจในการก่อตั้งร้าน La Borne Point - ลา บล็อง พ้อยท์

ส่วนการออกแบบและการตกแต่งร้าน ลา บล็อง พ้อยท์ เน้นความเป็นเอิร์ธโทน เพื่อให้สียังเข้ากับความเป็นกาแฟและธรรมชาติแต่ก็ไม่ดูน่าเบื่อเกินไป โดยแบ่งการออกแบบร้านและสวนเป็น 3 ส่วนด้วยกัน โดยส่วนกลางเป็นร้านกาแฟรูปใบไม้ 2 ใบวางซ้อนกัน 

หลังคาเป็นแฝกเทียมตกแต่งภายในด้วยไม้เก่าเป็นหลัก แต่แฝงไปด้วยความหรูหรา กระจกบานใหญ่ที่สูงถึงหลังคาเพื่อให้ความรู้สึกโล่ง โปร่งสบาย มองเห็นวิวของสวนดอกไม้ สวนไม้ร่มรื่น และวิวภูเขา ทำให้ลูกค้าสามารถดื่มด่ำกับธรรมชาติอย่างเต็มที่

ส่วนด้านทิศใต้ เป็นสวนดอกไม้นานาพันธุ์ ที่จะมีการปรับเปลี่ยนหมุนเวียนไปให้ดูสวยตลอดทั้งปี สะพานไม้ทอดยาวไปกลางสวนเพื่อผู้ที่มาเยือนได้เดินผ่อนคลาย และมีชิงช้าสวรรค์หมุนตลอดเวลา ที่เป็นจุดเช็คอิน คู่กับบ่อปลาคาร์ปตามหลักฮวงจุ้ยที่ซินแสแนะนำ​ ​และด้านทิศเหนือเป็นสวนร่มรื่น ประกอบด้วยพันธุ์ไม้ยืนต้นหลากหลายชนิด

ร้านและสวนทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้นที่ 10 ไร่ สามารถรองรับที่จอดรถประมาณ90คัน และมีที่สำหรับรถเข็นวีลแชร์ ในอนาคตจะมีที่ชาร์ทสำหรับรถไฟฟ้า

ส่วนเมนูกาแฟซิกเนเจอร์ของทางร้าน ขอแนะนำ labornechino - ลาบล็องชิโน่ เป็นกาแฟคาปูชิโน่ร้อนที่ใช้กาแฟคั่วอ่อน  รสชาติและสัมผัสที่ได้จะกลมกล่อม ไม่ขม ไม่เข้ม แต่ไม่อ่อนจนเกินไป ในการคั่วเมล็ดกาแฟจะมีสามระดับ ซึ่งทางร้านจะพิถีพิถันมาก 

นอกจากนี้ยังมีเมนูแนะนำอื่นๆ เช่น อเมริกาโน่เย็น, ชาไทยพรีเมียมลาเต้, มัทฉะยูซุ, ดัลโกนาชาไทย ที่มาแล้วต้องลอง และเมนูเครื่องดื่มอื่นๆ อีกมากมาย พร้อมขนมเค้กและบิงซู โดยที่เครื่องดื่มกาแฟของ ลา บล็อง พ้อยท์ ทุกแก้วใช้กาแฟพันธุ์อาราบิกาแท้ 100% ที่ทางร้านปลูกเองด้วยความใส่ใจในทุกขั้นตอนตั้งแต่การปลูก คัดเมล็ด และคั่วอย่างพิถีพิถัน และนำมาชงด้วยการใช้characterictic(ลักษณะพิเศษ)ของมล็ดกาแฟที่แตกต่างมาผสมรวมกัน  จนได้กาแฟที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ของทางร้าน  ด้วยรสชาติที่อร่อยลงตัว

และนอกจากนี้ทางร้านยังมีโปรโมชั่นฉลองเปิดร้านใหม่ เมื่อ ซื้อเครื่องดื่มที่ร้าน La Borne Point - ลา บล็อง พ้อยท์  แก้วแรกในราคาปกติ  แก้วที่ 2 ลด 50% ทันที!! (ทุกเมนู) ตั้งแต่วันนี้ -31 ธันวาคม 2565 เท่านั้น  

แวะมาจิบกาแฟอาราบิก้าแท้ 100% คั่วสดจากไร่ และถ่ายรูปเช็คอินสวยๆ ได้ที่ 
La Borne Point - ลา บล็อง พ้อยท์,
255 ถนน สามัคคีชัย ตำบล ท่าพล อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ เพชรบูรณ์ 67250

เปิดให้บริการตั้งแต่ 08.00 – 20.00 น.
แผนที่: https://goo.gl/maps/YLx2uwbTh6Nc57fs8
เฟซบุ๊กเพจ: https://www.facebook.com/labornepoint
โทร.062-051-6969
#LaBornePoint #ลาบล็องพ้อยท์ #คาเฟ่เพชรบูรณ์ #ร้านกาแฟเพชรบูรณ์ #ที่เที่ยวเพชรบูรณ

Share:

sacit หนุนเทรนด์ภูมิปัญญาไทยดันหัตถกรรมครูศิลป์ - คราฟต์ร่วมสมัย

sacit รวม 2 งานใหญ่แห่งปี เนรมิตพื้นที่จัด “อัตลักษณ์แห่งสยาม ครั้งที่ 13” และ "Crafts Bangkok 2022" ดันเทรนด์ภูมิปัญญาไทยสู่สากล กระตุ้นตลาดงานศิลปหัตถกรรมครูศิลป์แผ่นดิน และคราฟต์ร่วมสมัยฝีมือคนไทย 8-11 กันยายนนี้


นายพรพล เอกอรรถพร รักษาการแทน ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ “sacit” เปิดเผยว่า ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย พบว่าสถิติการจดทะเบียนเป็นสมาชิกผู้ประกอบการหัตถกรรมในปีนี้เพิ่มขึ้นถึง 3,000 ราย จากช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ที่มีจำนวนประมาณ 2,000 ราย ชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันคนไทยสนใจในการพัฒนาสินค้าหัตถกรรมไทย และมีตลาดรองรับอย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ

ขณะเดียวกัน จากความนิยมที่เกิดขึ้นนั้น sacit จึงได้มุ่งเน้นในการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการ และพัฒนาสินค้าเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่งานศิลปหัตถกรรมไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดสากล ตลอดจนให้องค์ความรู้ในช่องทางจัดจำหน่ายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะลูกค้าต่างประเทศที่ขณะนี้นิยมสินค้าหัตถกรรมไทยและงานคราฟต์ร่วมสมัยอย่างมาก อาทิ ตลาดตะวันออกกลาง และยุโรป เป็นต้น

อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการประกาศความพร้อมของผู้ประกอบการไทย sacit ได้เตรียมจัดงานอัตลักษณ์แห่งสยามครั้งที่ 13 และ Crafts Bangkok 2022 ระหว่างวันที่ 8-11 กันยายน 2565 ภายใต้แนวคิด “The power of Traditional and Modern Cultural Blend : ผสานภูมิปัญญาอย่างร่วมสมัย ส่งต่อฝีมือคนไทยสู่สากล” โดยยกให้งานดังกล่าวเป็นงานแสดงสินค้าศิลปหัตถกรรมไทยและงานคราฟต์สุดยิ่งใหญ่แห่งปี ที่มีการรวม 2 งานใหญ่ไว้ในงานเดียว เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของงานศิลปหัตถกรรมไทยในแบบดั้งเดิมจากศิลปินระดับประเทศ และแบบร่วมสมัยจากนักออกแบบรุ่นใหม่

สำหรับกิจกรรมภายในงานมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โครงการเซรามิค สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ โครงการกำลังใจ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทยร่วมสมัยที่สร้างสรรค์ โดยครูศิลป์ของแผ่นดิน ครูช่างศิลปหัตถกรรม ทายาทช่างศิลปหัตถกรรม และสมาชิกผู้ผลิตงานหัตถกรรมที่สร้างสรรค์อย่างร่วมสมัยตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ นับหมื่นรายการ กว่า 650 ร้านค้า

อีกทั้ง ยังมีกิจกรรมส่งเสริมการขาย sacit Lucky Box และโปรโมชั่นลุ้นรับของรางวัลต่างๆ มากมาย, มินิคอนเสิร์ตจากศิลปินที่จะมาสร้างสีสันภายในงาน อาทิ แว่นใหญ่-มน, เบล วริศรา, ป๊อป ปองกูล, เอิ๊ต ภัทรวี รวมถึงกิจกรรม Work shop Share Your Crafts ให้ผู้เข้าร่วมชมงานได้ DIY และแชร์ความสุขในทุกๆ วันอีกด้วย

ทั้งนี้ sacit คาดหวังว่าการจัดงานอัตลักษณ์แห่งสยามครั้งที่ 13 และ Crafts Bangkok 2022 ระหว่างวันที่ 8-11 กันยายน 2565 จะมีผู้เข้าชมงานไม่ต่ำกว่า 30,000 ราย สามารถสร้างเงินสะพัดภายในงานกว่า 140 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันรายได้จากการจัดจำหน่ายงานหัตถกรรมและคราฟต์ โดยพร้อมต่อยอดความสำเร็จ และคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้มากกว่าปี 2564 ที่สร้างยอดรายได้ราว 170 ล้านบาท จากการออกงานแฟร์ต่างๆ รวมถึงการจัดจำหน่ายทุกช่องทางทั้งจุดจำหน่าย On Ground ที่มีอยู่นศูนย์การค้าชั้นนำ และสนามบินในกรุงเทพฯ ภูเก็ต และในรูปแบบออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม

เตรียมสัมผัสเสน่ห์ พร้อมเสพความสุนทรีย์ ผ่านงานศิลปหัตถกรรมไทยแบบฉบับครูศิลป์ของแผ่นดิน ครูช่างศิลปหัตกรรม และสินค้างานคราฟต์ร่วมสมัยตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ได้ที่ งานอัตลักษณ์แห่งสยามครั้งที่ 13 และ Crafts Bangkok 2022 งานแสดงสินค้าศิลปหัตถกรรมไทยและงานคราฟต์สุดยิ่งใหญ่แห่งปี ระหว่างวันที่ 8-11 กันยายน 2565 เวลา 10.00-20.00 น. ณ ฮอลล์ 101-102 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: @sacitofficial


Share:

มูลนิธิทันตนวัตกรรมฯ สนับสนุนผลิตนวัตกรรม เจลลี่โภชนา-น้ำลายเทียมชนิดเจลระดับอุตสาหกรรม

มูลนิธิทันตนวัตกรรม ในพระบรมราชูปถัมภ์ เดินหน้าสนับสนุนงานวิจัย โครงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก เจลลี่โภชนา สำหรับผู้ป่วยที่ประสบปัญหาเรื่องการเคี้ยวและการกลืน และโครงการวิจัยและพัฒนาน้ำลายเทียมชนิดเจล ผลิตภัณฑ์ เจลลี่ (เดิมชื่อ วุ้นชุ่มปาก) โดยจัดตั้งโรงงานผลิตในระดับอุตสาหกรรม ตามมาตรฐานระดับสากล เพื่อช่วยผู้ป่วยที่มีปัญหาปากแห้ง น้ำลายน้อย เพิ่มทางเลือกให้ผู้ป่วยมะเร็งในช่องปากและผู้สูงวัย กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

นายวรวุฒิ กุลแก้ว เลขาธิการมูลนิธิทันตนวัตกรรม ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า มูลนิธิฯ เป็นหน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน ภายใต้ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) ที่มีหน้าที่ดำเนินการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านทันตกรรมที่มีคุณภาพให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อนำไปป้องกัน รักษา ฟื้นฟู โรคทางทันตกรรมแก่ประชาชนและพร้อมสนับสนุนการบริการด้านทันตสาธารณสุขร่วมกับภาคีเครือข่ายในการสร้างโอกาสให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมที่ผลิตขึ้นเองในประเทศ ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 

โรคมะเร็งในช่องปาก นับเป็นโรคทางทันตกรรมที่มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นทุกวัน สำหรับกระบวนการรักษาในบริเวณที่เป็นไม่ว่าจะโดยวิธีการให้คีโม การฉายแสง หรือการผ่าตัด ต่างก็ส่งผลให้ผู้ป่วยประสบปัญหาเรื่องการรับประทานอาหารและการดำเนินชีวิต

มูลนิธิฯ สนับสนุนนักวิจัยไทยผู้ได้รับพระราชทานทุนอานันทมหิดล สาขาทันตแพทยศาสตร์ ทั้ง 2 ท่าน คือ ผศ.ทพญ.ดร.อรุณวรรณ หลำอุบล ภาควิชาศัลยศาสตร์และเวชศาสตร์ช่องปาก คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และ รศ.ทพญ.ดร.ดุลยพร ตราชูธรรม สถาบันโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดล ทำการค้นคว้าวิจัยนวัตกรรมเกี่ยวกับทันตกรรม โครงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก เป็นนวัตกรรมอาหารเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีปัญหาทุพโภชนาการ อันเกิดจากภาวการณ์บริโภคอาหารได้อย่างไม่สมดุลกับความต้องการของร่างกาย และการพัฒนาน้ำลายเทียมชนิดเจล สำหรับผู้ป่วยมะเร็งช่องปากและผู้สูงวัย ที่ประสบปัญหาปากแห้ง น้ำลายน้อย นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ได้ร่วมมือกับหน่วยงานทางด้านสาธารณสุข ในการนำผลิตภัณฑ์ไปแจกจ่ายให้กับผู้ป่วย 

โดยผลการวิจัยของโครงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก เจลลี่โภชนา ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ Support Care Cancer สำนักพิมพ์ Springer ในหัวข้อ Nutri-jelly may improve quality of life and decrease tube feeding demand in head and neck cancer patients. และได้รับการจดทะเบียนสิทธิบัตรจากกรมทรัพย์สินทางปัญญาแล้ว

เจลลี่โภชนา มีลักษณะเนื้ออาหาร (Texture) คล้ายเต้าหู้ไข่ เพื่อให้ผู้ป่วยเคี้ยวและกลืนได้ เนื้ออาหารไม่เหลวมากไปเพราะจะทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสสำลักได้ มีสารอาหารครบ 5 หมู่ มีโปรตีนย่อยง่าย สำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถย่อยแลคโตสได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุบางท่านที่รับประทานนมแล้วท้องเสียก็สามารถรับประทานได้ และได้ใช้เนื้อผลไม้จริงในการผลิตทุกรสชาติ ปัจจุบันมีทั้งหมด 3 รสชาติ คือรสมะม่วง รสเสาวรส และรสมังคุด โดยกระบวนการผลิตได้รับการรับรองระบบการจัดการความปลอดภัยในอาหาร ตามมาตรฐาน FSSC 22000 มาตรฐาน GHPs และได้รับการขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รวมทั้งได้รับการรับรองเครื่องหมายฮาลาล (Halal) เรียบร้อยแล้ว 

ส่วนโครงการวิจัยและพัฒนาน้ำลายเทียมชนิดเจล ผลิตภัณฑ์ เจลลี่ (เดิมชื่อ วุ้นชุ่มปาก) เป็นการต่อยอดจากเจลลี่โภชนา โดยเน้นไปที่กลุ่มผู้ป่วยมะเร็งช่องปาก ซึ่งเมื่อผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้รับการรักษาโดยการฉายรังสีจึงส่งผลกระทบต่อต่อมน้ำลาย โดยโครงการฯ ได้รับการตีพิมพ์วารสารนานาชาติ Springer ใน 2 หัวข้อ คือ 

“Alleviation of Dry Mouth by Saliva Substitutes Improved Swallowing Ability and Clinical Nutritional Status of Post-Radiotherapy Head and Neck Cancer Patient : a Randomized Controlled Trial” เป็นงานวิจัยในผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและลำคอหลังจบรังสีรักษา โดยผู้ป่วยมีภาวะปากแห้งน้ำลายน้อย และกลืนลำบาก ผลการศึกษาพบว่า ผลิตภัณฑ์สามารถช่วยบรรเทาอาการปากแห้งและปัญหาการกลืนได้ดีกว่าน้ำลายเทียมชนิดเจลทางการค้า ซึ่งนำไปสู่ภาวะโภชนาการทางคลินิกที่ดีขึ้น จึงอาจมีความสำคัญต่อการสนับสนุนโภชนาการของผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและคอหลังจบรังสีรักษา 

และหัวข้อ “Efficacy of gel-based artificial saliva on Candida colonization and saliva properties in xerostomic post-radiotherapy head and neck cancer patients: a randomized controlled trial” เป็นงานวิจัยในผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและลำคอหลังจบรังสีรักษา จากผลการศึกษาผลิตภัณฑ์พบว่า มีแนวโน้มช่วยปรับสมดุลเชื้อราในช่องปากลดปริมาณเชื้อราสะสมในช่องปากลดจำนวนชนิดของเชื้อราในช่องปากและมีความสามารถปรับค่าความเป็นกรด - ด่างในช่องปาก (Buffering capacity) ได้

การวิจัยยังทำการทดสอบความพึงพอใจและประสิทธิผลในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นอีกกลุ่มใหญ่ที่ประสบปัญหาปากแห้งน้ำลายน้อย อันเกิดจากยาที่รับประทานเป็นระยะเวลานาน อาทิ ยาที่ใช้รักษาโรคความดัน เบาหวาน ซึ่งอาจจะส่งผลต่อความสามารถในการผลิตน้ำลายของผู้ป่วยด้วย นอกจากนี้ยังอาจส่งผลต่อโรคทางทันตกรรม เช่น ฟันผุ โรคปริทันต์ เป็นต้น

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ เจลลี่ (เดิมชื่อ วุ้นชุ่มปาก) สามารถผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยกระบวนการผลิตได้รับการรับรองระบบกการจัดการความปลอดภัยในอาหาร FSSC 22000 มาตรฐาน GHPs และได้รับการขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว มี 3 กลิ่น คือกลิ่นสตรอเบอร์รี่ กลิ่นน้ำผึ้งเลมอน และกลิ่นลิ้นจี่ โดยผลิตภัณฑ์สามารถกลืนได้ ทำให้สร้างความชุ่มชื้นทั้งในช่องปากและลำคอ และไม่ใส่สารกันบูด โดยผลิตภัณฑ์มีอายุการเก็บรักษานาน 1 ปี นับจากวันที่ผลิต สามารถเก็บได้ในอุณหภูมิปกติ แต่หลังจากเปิดใช้ผลิตภัณฑ์แล้วควรรับประทานภายใน 24 ชั่วโมง

สำหรับหน่วยงานหรือโรงพยาบาลที่สนใจเป็นจุดแจกผลิตภัณฑ์ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 

Line : @dent_in_found โทรศัพท์ 062-549-8146, 02-3182351-5 ต่อ 1403,1416 

หรือติดตามได้ที่ Website: www.dent-in-found.org

Facebook: https://www.facebook.com/dentalinnovation40

YouTube: https://www.youtube.com/channel/UCWWuHSnPKN6UmXHK7J6FDQw 


Share:

ยกกองทัพความอร่อยแบบหมีๆ มาเสิร์ฟกันถึงที่ ในงานCHEF FEST BEAR LOVER AT CENTRAL WORLD

วันที่ 26 สิงหาคม 2565 ณ ลาน EDEN 1 ชั้น 1 CENTRALWORLD บริษัทดราก้อนออแกไนซ์เซอร์ กรุ๊ป จำกัด จัดกิจกรรม “CHEF FEST BEAR LOVER AT CENTRAL WORLD” ยกกองทัพความอร่อยแบบหมีๆ มาเสิร์ฟกันถึงที่ สนุก สุดฟิน กินแบบจุใจ ซึ่งได้รับการสนันสนุนจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยมีนายฉัตรชัย ชินคำ รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจกรรม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ประธานในพิธีเปิด

นายฉัตรชัย กล่าวว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มีความรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดงาน CHEF FEST BEAR LOVER AT CENTRAL WORLD ยกกองทัพความอร่อยแบบหมีๆ มาเสิร์ฟกันถึงที่ สนุก สุดฟิน กินแบบจุใจ ขอขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่ได้ให้ความร่วมมือร่วมใจ จัดงานนี้ขึ้น 

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และวิถีชีวิต รวมไปถึงผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสร้างรายได้ของประเทศ “รัฐบาล” โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จึงให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศได้ เพื่อมุ่งมั่นเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืน รักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจของผู้ประกอบการ ช่วยเหลือบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้สามารถดำรงอยู่ได้  

การจัดงาน CHEF FEST BEAR LOVER AT CENTRAL WORLD ยกกองทัพความอร่อยแบบหมีๆ มาเสิร์ฟกันถึงที่ สนุก สุดฟิน กินแบบจุใจ เป็นการนำเสนอกิจกรรมภายใต้แนวคิด “เรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่องเดียวกัน” เพื่อส่งเสริมและผลักดันธุรกิจด้านอาหาร โดยได้คัดสรรร้านอาหารที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานถูกหลักอนามัย
รวมถึงร้านอาหารที่มีชื่อเสียง อาทิ ร้านที่ได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ โดยดำเนินการจัดงานตามมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กระทรวงสาธารณสุขและมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย Amazing Thailand Safety & Health Administration (SHA) เพื่อความปลอดภัยด้านสุขอนามัยแก่นักท่องเที่ยวในการเข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของประเทศไทย ในการเปิดรับนักท่องเที่ยว รวมถึงให้ประชาชนหันมาสนใจสุขภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ อันจะก่อให้เกิดรายได้หมุนเวียนทางเศรษฐกิจฐานรากและผู้ประกอบการในธุรกิจท่องเที่ยว ผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวในช่วงหลังสถานการณ์โควิด-19 ให้พลิกฟื้นกลับคืนได้อย่างยั่งยืน  

ซึ่งในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ยกกองทัพและขบวนความอร่อยแบบหมีๆ มาเสิร์ฟกันถึงที่ ให้สนุก สุดฟิน กินแบบจุใจ​ในวันที่ 26 – 28 สิงหาคม 2565 ณ ลาน EDEN 1 ชั้น 1 CENTRAL WORLD กับกิจกรรมภายในงานที่น่าตื่นตาตื่นใจกับร้านอาหารและเครื่องดื่มจากร้านดังมากมายที่คัดสรรเมนูเด็ดสไตล์ พิเศษไปกับการรังสรรค์อาหารไทยฟิวชั่น โดย เชฟชุมพล แจ้งไพร เชฟอาหารไทย เชฟระดับมิชลินสตาร์แถวหน้าของเมืองไทย มิชลิน 2 ดาว ผู้คร่ำหวอดในวงการอาหารไทยกว่า 30 ปี ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ชมการรังสรรค์อาหารจากวัตถุดิบจากอาหาร 5 ภาคโดย “Celebrity Chef จาก CHEF FEST” ได้แก่ เชฟภัทรวิทย์ จันทร์ไทย (เชฟปาร์ค), เชฟธนบดี พูลเจริญ (เชฟโอม), เชฟรณชัย สิงนวน (เชฟมิว), เชฟธนวัฒน์ อิทาคูระ (เชฟซัน) และเชฟศิรศักดิ์ วภักดิ์เพชร (เชฟหนุ่มน้อย) มากความสามารถที่มี ใจรักและชื่นชอบการทําอาหารเป็นอย่างมากกับการมารังสรรค์อาหารทั้ง 5 ภาคของประเทศไทย 

และมากไปด้วยกิจกรรมสนุกๆ สร้างสีสันความตื่นเต้น ไม่ว่าจะเป็น การออกร้านสุดเจ๋งจากร้านมิชลินสตาร์ กับ ร้าน R-HAAN By เชฟชุมพล แจ้งไพร, ร้าน ผิน (Pinn) By เชฟหนุ่ม-ธนินธร จันทรวรรณ, ร้าน Bo.lan By เชฟโบ-ดวงพร ทรงวิศวะ, ร้าน Table 38 By เชฟแอนดี้ ยังเอกสกุล หรือ แอนดี้ หยาง, และร้าน Khao By เชฟเต้ย-ณัฐกฤต กัลยาณมิตร, การออกร้านของเหล่าเซเลบริตี้ celebrity ดารา ไม่ว่าจะเป็น ร้านลูกชิ้นบุ๊คโกะ ลูกชิ้นปลามันดูน้ำแตก by ธนัชพันธ์ บูรณาชีวาวิไล (บุ๊คโกะ), 
ร้าน เลิศพะโล้ by กมล ชอบดีงาม, ร้านเนื้อปิ้งโบ๊ะบ๊ะ by วรชาติ ธรรมวิจินต์ (ดีเจพล่ากุ้ง), ร้าน ปูไข่เยิ้ม by mick (ร้อยเอก บรมวุฒิ หิรัญยัษฐิติ) และร้าน มิตรชัย หม้อไฟ by ไชยา มิตรชัย และยังมีบูธร้านค้าที่มาในสไตล์น้องหมี อาทิ ร้านปังห่วงนะร้าน Shirokumaya Bakery, ร้าน Chocolate Factory, ร้าน Peak Chocolate,ร้าน Honey Bear Pancake, ร้าน The Brownies, ร้าน Yerm, ร้าน Honey Bear Cocoa, ร้าน Mahouse Café และ ร้าน Croissant Factory และในทุกๆ วันพบกับ MC สาวสวยสายกินกับ บุ๊คโกะ ธนัชพันธ์ บูรณาชีวาวิไล หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ เจ้าหญิงแห่งวงการวิทยุ ที่จะมาสร้างสีสันและความสนุกภายในงาน 

และยังมีกิจกรรม การแข่งขันทำคาแรคเตอร์เบนโตะ, การแข่งกินกันแบบสายหมี และการแข่งขันแต่งหน้าเค้กในคอนเซ็ปต์ “BEARS LOVER” อีกทั้งภายในงานจะอบอุ่นไปกับความน่ารักของน้องหมีที่ยกทัพขบวนน้องหมีมาให้กระทบไหล่ เป็นตัวแทนแห่งความน่ารักอันอบอุ่น ที่ใครๆ ก็หลงรัก 
ไม่ว่าจะเป็นมุมถ่ายรูป Photobooth ลายน้องหมี สุดโซคิ้วท์ ไว้สําหรับถ่ายภาพน่ารักๆ เก็บสะสมไว้เป็นความประทับใจ พร้อมรับชมคอนเสิร์ตผู้ชายสายหมีที่จะทำให้คุณอิ่มอร่อยไปกับรสชาติของเสียงเพลงในบรรยากาศสไตล์ความอบอุ่น วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565 พบกับ ป็อป ปองกูล และ โอ๊ต ปราโมทย์ วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม 2565 พบกับ ส้ม มารี ที่มาแจกความสดใส และวันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม 2565 พบกับ กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ หรือ F.HERO

 ติดตามและสอบถามข้อมูลกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ Facebook :Chef Fest – Central World

https://m.facebook.com/cheffest.centralworld/


Share:

Captain Cook Chronograph เรือนเวลาล้ำสมัย ฟังก์ชั่นการทำงานใหม่ รูปลักษณ์ที่เพรียวบาง มีสไตล์

ย้อนรอยสู่เรื่องราวความสำเร็จในอดีตที่คงความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ หนึ่งในช่วงเวลาของการสร้างสรรค์การผลิตเรือนเวลาอันยอดเยี่ยม กับนาฬิกาสไตล์วินเทจรุ่นใหม่ล่าสุดที่รวบรวมองค์ประกอบที่ดีที่สุด และโดดเด่นที่สุดของรุ่นดั้งเดิม รวมเข้ากับเรื่องราวที่น่าตื่นตาตื่นใจและสร้างสรรค์ในยุคปัจจุบัน — การออกแบบ และการคิดค้นเทคโนโลยีระดับแนวหน้า นำไปสู่ผลลัพธ์อันล้ำสมัยพร้อมคุณสมบัติขั้นสูง

Captain Cook Chronograph รุ่นใหม่ล่าสุด ตอบสนองความท้าทาย ด้วยรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวสวยงาม ครั้งแรกที่นาฬิการุ่นโปรดของเหล่านักสำรวจถูกนำกลับมาอีกครั้งในรูปแบบของนาฬิกาโครโนกราฟที่ล้ำสมัย พร้อมกับขนาดที่ได้รับการปรับปรุงใหม่อย่างลงตัว กลไกการเดินแบบออโตเมติกเพรียวบางเป็นพิเศษ หาได้ยากในท้องตลาด ทั้งนี้ ในยุคปัจจุบันที่มีตัวเลือกที่หลากหลาย Rado "ผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุ" นำเสนอนาฬิกาโครโนกราฟรุ่นใหม่ 3 แบบ 3 สไตล์ มาในเฉดสีและรูปแบบของสายนาฬิกาที่แตกต่างกัน เอาใจผู้ชื่นชอบความท้าทายและความแปลกใหม่ ตัวเรือนและสายเสริมใช้ ระบบ EasyClip ที่สะดวกสบาย ช่วยให้สามารถเปลี่ยนสายนาฬิกาได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว เลือกสวมใส่ได้เหมาะในโอกาสพิเศษ เรือนนาฬิกาสไตล์วินเทจถูกรังสรรค์ขึ้นเป็นผลงานชิ้นเอกแห่งยุคนี้ พร้อมวางจำหน่ายในกล่องที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อให้ทุกอย่างปลอดภัยตลอดการเดินทางและพกพา 

ภายนอกของตัวเรือน Captain Cook Chronograph รุ่นใหม่ มีการใช้แซฟไฟร์คริสตัลทรงสี่เหลี่ยม มีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทนทานต่อรอยขีดข่วน อีกทั้งยังป้องกันแสงสะท้อนบนพื้นผิวทั้งสองด้าน ตัวเรือนขนาด 43 มม. มีขนาดบางลง เพื่อทำให้สวมใส่สบายยิ่งขึ้น โดยในรุ่นนี้มีทั้งที่ผลิตจากสแตนเลสแบบขัดเงา หรือบรอนซ์แบบขัดเงา โดดเด่นด้วยการ ฝังไฮเทคเซรามิกแบบขัดเงาอยู่บนขอบหน้าปัด ผสมผสานสีน้ำเงินหรือสีดำอย่างลงตัว ช่วยเสริมความสมบูรณ์แบบให้กับขอบหน้าปัดและสีสันบนหน้าปัดของรุ่นนี้โดยเฉพาะ 

นอกจากนี้ในรุ่นอื่น มีการไล่ระดับเฉดสีที่หน้าปัดตัวเรือนจากสีเงินเป็นสีน้ำเงิน และอีกรุ่นหนึ่ง จากสีเงินเป็นสีดำ และอีกรุ่นหนึ่งที่พื้นผิวเป็นแบบซันเรย์สีน้ำเงิน ทั้งหมดนี้เป็นความประณีตบรรจงที่เสริมเข้ามานอกจากเข็มบอกเวลา เครื่องหมาย รวมถึงตัวเลขบนหน้าปัด ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักที่ได้รับการเคลือบด้วยสารเรืองแสงชนิดพิเศษที่เรียกว่า Super-LumiNova® ช่วยให้สามารถอ่านเวลาได้อย่างชัดเจนแม้ในสภาพแสงน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เข็มชั่วโมงที่มีปลายหัวลูกศรที่หนาและมีลักษณะเฉพาะ และเข็มนาทีที่แข็งแรง รวมทั้งเครื่องเดินเวลาในหน่วยวินาทีแบบโครโนกราฟมีปลายสีแดง ช่วยให้จับเวลาได้อย่างง่ายดายในการทำกิจกรรมหรือการเดินทางใดๆ ทั้งในเมืองหรือในที่กลางแจ้ง สัญลักษณ์รูปสมอยังคงเป็นสัมผัสที่น่ารื่นรมย์ โดยมีสีโรเดียมตัดกับพื้นหลังสีแดงบนตัวเรือน ทนทานเหนือกาลเวลาและแม่นยำสูง หน้าปัดโครโนกราฟอยู่ที่ตำแหน่ง 9 นาฬิกา และหน้าปัดวินาทีอยู่ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา หน้าต่างวันที่บริเวณด้านล่างที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา วันที่ที่แสดงเป็นสีแดงตัดกับสีเงินเฉกเช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้า ภายในมีกลไกการเดินแบบออโตเมติก R801 รุ่นใหม่ที่บางกว่าเดิม จีเวล 37 เม็ด 5 เข็มนาฬิกา โดยสามารถสำรองพลังงานได้นานถึง 59 ชั่วโมง มาพร้อมแฮร์สปริงป้องกันสนามแม่เหล็ก Nivachron™ จึงมีความแม่นยำเกินกว่าข้อกำหนดในการทดสอบแบบมาตรฐานตั้งแต่ 3 ถึง 5 ตำแหน่ง มีประสิทธิภาพกันน้ำที่ 30 บาร์ (300 เมตร) ฝาหลังแบบขันเกลียว เม็ดมะยมแบบขันเกลียวและปุ่มกด รับรองมาตรฐานความแม่นยำและเทคนิคการผลิตคุณภาพขั้นสูงโดย Rado 

Captain Cook Chronograph รุ่นใหม่แข็งแกร่งเช่นเดียวกับรุ่นที่ผ่านมา และเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณลักษณะพิเศษมากมาย มาพร้อมกับสายนาฬิกาเพิ่มเติมอีกสองเส้น ซึ่งทำจากวัสดุและสีที่แตกต่างกันตามรุ่นเฉพาะ ตัวเรือนรุ่น สแตนเลสทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับสายนาฬิกาสแตนเลสแบบสามข้อที่เข้าชุดกัน โดยข้อต่อตรงกลางเป็นแบบขัดเงาและ บานพับล๊อคแบบขยายได้ นอกจากนี้ยังมีสายหนังสีน้ำตาลกาแฟหรือสายหนังสีน้ำเงินเพิ่มเติม โดยมีการเย็บแบบตัดกัน รวมทั้งสายผ้านาโต้ที่โฉบเฉี่ยว ลงตัวโดดเด่นด้วยสีน้ำเงินหรือสีดำ ซึ่งยึดด้วยพินบัคเคิ้ลที่ทำจากเหล็ก สำหรับรุ่นบรอนซ์ มาพร้อมกับสายผ้านาโต้ ที่มีแถบสีทองตรงกลาง ทั้งยังมีสายหนังสีน้ำเงินที่มีการเย็บเน้น

ทั้งหมดนี้เชื่อมกันด้วยพินบัคเคิ้ลแบบใช้เข็มสีบรอนซ์เพื่อให้ทุกอย่างสอดคล้องกัน Captain Cook Chronograph รุ่นใหม่จึงมาในตัวเรือนแบบพิเศษที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนาฬิกาที่เป็นดั่งสมบัติที่มีค่าของนักสำรวจและนักเดินเรือในสมัยโบราณ ซึ่งออกแบบขึ้นเพื่อให้มีความทนทาน ทั้งยังมีสายนาฬิกาสองเส้นเพื่อสำรองในการใช้งานที่สมบูรณ์แบบ โดยที่สามารถจัดเก็บสายนาฬิกาสำรอง พร้อมกับเรือนนาฬิกา Rado ที่คุณชื่นชอบได้อย่างปลอดภัย ด้วยกล่องไม้ (FSC) ที่มีการป้องกันบริเวณด้านนอกด้วยไนลอนสีดำที่แข็งแรง และโลหะทนทาน รอบล้อมด้วยลายตกแต่งสีงาช้างอ่อน ทั้งหมดนี้ได้รับการสรรสร้างขึ้นด้วยรสนิยมที่เหนือกาลเวลา พร้อมกับความแม่นยำไม่มีพลาด



Share:

Recent Posts

ค้นหาบล็อกนี้

Contact Us ::

📲 (+66) 081 4345154
✉️ Insightoutstory@gmail.com

Add Line📲 Click 👇👇

Translate

🚉 ช.ส.ท.พาเที่ยว นครฯ

Review By Nichapa

POPULAR NEWS

Fanpage Facebook

ป้ายกำกับ

คลังบทความของบล็อก