ชื่นมื่น.. ในงานฉลองสมรสพระราชทาน ระหว่าง พญ.ณัฏฐิญา ศิริธรรม และ พ.ท.ฐิติ ศรีธนสุกาญจน์ ณ เซนต์โทเปส เมื่อเร็วๆ นี้


พล.ร.อ.มนัสวี บูรณพงศ์ (รองปลัดกระทรวงกลาโหม) และ ภริยา พร้อมด้วย ดร. สาธิต ปิตุเตชะ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข) ให้เกียรติมาร่วมแสดงความยินดีในงานฉลองสมรสพระราชทาน ระหว่าง พญ.ณัฏฐิญา ศิริธรรม และ พ.ท.ฐิติ ศรีธนสุกาญจน์ ณ เซนต์โทเปส เมื่อเร็วๆ นี้ 

เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา พ.ท.ฐิติ ศรีธนสุกาญจน์ ได้จูงมือ พญ.ณัฏฐิญา ศิริธรรม เข้าพิธีฉลองมงคลสมรสพระราชทาน สุดอบอุ่น โดยบ่าว-สาว ตั้งใจเนรมิต สถานที่จัดงานเลี้ยงแต่งงาน ให้ราวกับว่าอยู่ในพระราชวังสไตล์วินเทจ ประดับตกแต่งอย่างหรูหรา สวยงาม และ เป็นธรรมชาติ คุมธีมด้วยสีเอิร์ธโทน ทำให้บรรยากาศอบอุ่นมาก

นอกจากนี้ บรรยากาศภายในงาน มีครอบครัว ญาติมิตร เพื่อนพ้อง ครอบครัวทหาร ครอบครัวสาธารณสุข เข้าร่วมงานเพื่อแสดงความยินดีมากมาย เรียกว่าชื่นมื่นสมการรอคอยของทั้งคู่ที่คบกันมานานถึง 11 ปี เลยทีเดียว และหวังว่าอีกไม่นานเราจะได้เห็นทายาทตัวน้อยๆ ของทั้งคู่ ขอแสดงความยินดีกับทั้งคู่มา ณ ที่นี้ด้วย

Share:

Infinix เปิดตัว INBOOK X2 บางเบา จอสวย สีสันสะดุดตา เริ่มต้นราคา 12,990 บาท พร้อมจับมือ VST ECS (Thailand) และ JD Central จัดจำหน่าย 28 มกราคมนี้

 

27 มกราคม 2565, กรุงเทพฯ - อินฟินิกซ์ (Infinix) ตอกย้ำความสำเร็จของแบรนด์ เดินหน้ารุกตลาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ล่าสุด Infinix INBOOK X2 ภายใต้สโลแกน “จุดประกายโลกแห่งสีสัน” ชูจุดขายด้วยดีไซน์บางเบา บางเพียง 14.8 มิลลิเมตร และน้ำหนักเพียง 1.24 กิโลกรัม เหมาะสำหรับพกพาไปใช้งานได้ในทุกที่ทุกเวลา มาพร้อมหน้าจอแสดงผลสีสันสดใส Full HD ขนาด 14 นิ้ว และแบตเตอรี่ความจุ   50 Wh พร้อมสายชาร์จ Type C ควบคู่กับการชาร์จไว 45 วัตต์ ทำให้ใช้งานได้ยาวนานตลอดทั้งวัน    และเสริมประสิทธิภาพการใช้งานด้วยระบบปฎิบัติการ Microsoft Windows 11 และ CPU จาก Intel Core i3/i5/i7   ในราคาสุดคุ้ม เริ่มต้นเพียง 12,990 บาท โดยผนึกกำลังร่วมมือกับสองพันธมิตร บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด ให้เป็นผู้แทนดำเนินการจัดจำหน่ายและช่องทางการจำหน่ายหลักโน้ตบุ๊ก Infinix INBOOK X2 ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อให้ผู้บริโภคได้เป็นเจ้าของโน้ตบุ๊กที่เหนือระดับ ในราคาคุ้มค่า และตอบสนองความพึงพอใจมากที่สุด  

นายเจอร์รี่ กง ผู้จัดการประจำประเทศไทย อินฟินิกซ์ ไทยแลนด์ กล่าวว่า “ อินฟินิกซ์ ได้รับความนิยมและเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย พร้อมเดินหน้าต่อยอดความสำเร็จด้วยการรุกตลาดกลุ่มสินค้าประเภทโน้ตบุ๊ก และนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ ด้วยการใช้กลยุทธ์ชูความโดดเด่นของตัวโปรดักส์ที่มีจุดขายในตัวเอง โดยเราได้เปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ล่าสุด Infinix INBOOK X2 เป็นโน้ตบุ๊กคุณภาพดี มีความบางเบา พกพาง่าย หน้าจอสวยงาม พร้อมใช้งานได้ยาวนาน และตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย พร้อมมีบริการหลังการขายที่สะดวกและรวดเร็ว ซึ่งเราเน้นกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไปในระดับเริ่มต้นถึงกลาง ที่ใช้สำหรับทำงาน เรียนออนไลน์ หรือรับชมความบันเทิงต่างๆ และใช้งานอินเทอร์เน็ต ในราคาคุ้มค่าเริ่มต้นเพียง 12,990 บาท เข้ามาจัดจำหน่ายในประเทศไทย เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเต็มรูปแบบให้กับผู้ใช้งานทุกคน”

“สำหรับโน้ตบุ๊ก Infinix INBOOK X2 เราได้ร่วมมือกับบริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด เพื่อให้เป็นผู้ดำเนินการจัดจำหน่ายสินค้าและช่องทางการจำหน่ายหลักในประเทศไทย เพราะเราเล็งเห็นถึงความเชี่ยวชาญและเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายของพันธมิตรที่แข็งแกร่ง เพื่อยกระดับและสร้างมาตรฐานในการจัดจำหน่าย INBOOK X2 เพื่อให้ทุกคนได้เป็นเจ้าของโน้ตบุ๊กที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม พร้อมสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น” นายเจอร์รี่ กล่าว

นายสมศักดิ์ เพ็ชรทวีพรเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ความร่วมมือทางธุรกิจกับอินฟินิกซ์ในครั้งนี้ ถือเป็นเครื่องยืนยันถึงความสามารถในการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมและกว้างขวางของเรา โดยวีเอสที อีซีเอส จะทำหน้าที่ช่วยกระตุ้น เพิ่มยอดขาย และขยายส่วนแบ่งการตลาดให้กว้างไกลยิ่งขึ้น ที่สำคัญเรามีระบบขนส่งที่ครอบคลุม ยืดหยุ่นและมีเครือข่ายในการจัดส่งทั่วไทย ทำให้เราสามารถจัดส่งสินค้าได้ทุกวัน ร้านค้าทั่วไทยจึงมั่นใจได้ว่าจะมีสินค้า Infinix INBOOK X2 จำหน่ายได้อย่างต่อเนื่อง และด้วยคุณภาพผลิตภัณฑ์ของอินฟินิกซ์ที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน เราจึงเชื่อมั่นว่าจะสามารถครองใจผู้ใช้ทั่วไปและคนรุ่นใหม่ได้ ซึ่งเรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับอินฟินิกซ์ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะสามารถบรรลุผลตามเป้าที่วางไว้และได้ผลกำไรที่เติบโตไปด้วยกัน”

ด้าน นายกิติศักดิ์ เหลืองหิรัญ ผู้บริหารหน่วยธุรกิจ 3C บริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด เปิดเผยว่า “ปีที่ผ่านมา อินฟินิกซ์กวาดยอดขายจากรุ่น INBOOK X1 สร้างสถิติใหม่เป็นอันดับหนึ่งบน JD Central และขึ้นเป็น The Best Seller Electronics Brand ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของอินฟินิกซ์ที่เข้ามาทำตลาดสินค้าประเภทโน้ตบุ๊ก และในรุ่น INBOOK X2 ทางเจดี เซ็นทรัล ในฐานะผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ได้เดินหน้าส่งมอบสิทธิประโยชน์ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษมากมาย ที่มีให้กับลูกค้าที่ช้อปผ่านเจดี เซ็นทรัลเท่านั้น นอกจากนี้ลูกค้าหรือผู้ใช้งานยังสามารถสั่งซื้อสินค้าในช่องทางของเราได้สะดวก รวดเร็วและปลอดภัย และได้รับประสบการณ์ในการซื้อสินค้าในราคาที่คุ้มค่าที่สุด” 

Infinix INBOOK X2 เป็นโน้ตบุ๊กที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งานและเหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่มีความทันสมัย        ที่ให้ผู้ใช้งานทุกคนได้รับประสบการณ์การใช้งานแบบจัดเต็มอย่างไร้ขีดจำกัด ที่มาพร้อมสโลแกน “จุดประกายโลกแห่งสีสัน” พร้อมชูจุดเด่น 3 หัวใจหลัก ดังนี้ 

ดีไซน์บางเบา เพียง 14.8 มิลลิเมตร และ 1.24 กิโลกรัม จับถนัดมือ พกพาสะดวก

Infinix INBOOK X2 กับการออกแบบที่มีสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ โดดเด่นด้วยความบางและน้ำหนักที่เบาตัวเครื่องบางเพียง 14.8 มิลลิเมตร และหนักเพียง 1.24 กิโลกรัม การดีไซน์เน้นให้พกพาสะดวก ใช้งานง่าย เหมาะที่จะนำออกไปใช้งานได้ในทุกที่ทุกเวลา มาพร้อมกับตัวเครื่องที่ถูกเคลือบผิวด้วยอลูมิเนียมแบบผิวทราย มีการเลือกใช้วัสดุเกรดพรีเมียมเพื่อความแข็งแรงทนทาน ป้องกันการขีดข่วน นอกจากนี้ยังมีพอร์ตเชื่อมต่อหลายพอร์ต และช่องใส่ไมโครเอสดีการ์ด เมมโมรีการ์ด ความจุเยอะ และระบบปฎิบัติการ Microsoft Windows 11 และ CPU จาก Intel Core i3/i5/i7 


เต็มอิ่มกับหน้าจอแสดงผลสีสันสว่างสดใส Full HD ขนาด 14 นิ้ว

สำหรับโน้ตบุ๊กรุ่นนี้ โดดเด่นด้วยหน้าจอสีสันสดใส ขนาดกว้าง 14 นิ้ว พร้อมความละเอียดระดับ FHD สูงสุดถึง 1920 x 1080 พิกเซล มีช่วงสี 100% sRGB และความสว่างของหน้าจอสูงถึง 300 nits ทำให้ผู้ใช้งานเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การรับชมภาพที่สมจริง และสามารถใช้งานได้ดีทั้งกลางแจ้งและในที่แสงน้อย โน้ตบุ๊กนี้ยังมาพร้อมกับไฟแฟลชคู่ LED ที่ขนาบด้านข้างกล้องตรงหน้าจอ ช่วยทำให้ใบหน้า สวยคมชัด สว่างสดใส และดูดี เช่น การประชุมออนไลน์ หรือ การเรียนออนไลน์ ซึ่งผู้ใช้งานจะได้รับประสบการณ์วิดีโอออนไลน์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดทุกครั้งขณะใช้งานสนทนาทางวิดีโอ

มอบประสบการณ์การใช้งานที่ยาวนานด้วยความจุแบตเตอรี่ 50 Wh พร้อมชาร์จไว 45 วัตต์

Infinix INBOOK X2 มาพร้อมความจุแบตเตอรี่ 50 Wh ชาร์จไว 45 วัตต์ และสายชาร์จ Type C  ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่ 60% ได้ในระยะเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง ให้อิสระในการใช้งานโดยไม่ต้องชาร์จระหว่างวัน รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ยาวนานถึง 11 ชั่วโมง อีกทั้งยังมาพร้อมระบบปฎิบัติการ Microsoft Windows 11 และ CPU จาก Intel Core i3/i5/i7 ความจุ 4+256GB และ 8+512GB มาให้เลือกตามรูปแบบการใช้งาน ทำให้ผู้ใช้เพลิดเพลินกับการใช้งานได้ตลอดวันอย่างเต็มอรรถรสแบบไม่มีสะดุด 

นอกจากสเปคที่คุ้มค่า ราคายังถูกใจ เริ่มต้นที่ราคา 12,990 บาท

Infinix INBOOK X2 โดดเด่นด้วย 4 สีสันให้เลือก ได้แก่ สีแดง สีเขียว สีเงิน และสีน้ำเงิน โดยในรุ่นสเปค  Core i3 ราคา 12,990 บาท Core i5 ราคา 18,990 บาท และ Core i7 ราคา 21,990 บาท พร้อมโปรโมชั่นพิเศษสำหรับผู้ที่ซื้อโน้ตบุ๊ก Infinix INBOOK X2 ทุกรุ่น ในช่วงระหว่างวันที่ 28 มกราคม ถึง 27 กุมภาพันธ์ 2565 จะไม่เสียค่าบริการจัดส่งสินค้า และยังมีสิทธิ์ได้รับกระเป๋าแบ็คแพ็คและเมาส์ไร้สายจากทางอินฟินิกซ์อีกด้วย

สำหรับประเทศไทย Infinix INBOOK X2 จะวางจำหน่ายพร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2565 เป็นต้นไป แฟนๆ อินฟินิกซ์และผู้ที่สนใจสามารถเป็นเจ้าของได้บน JD Central และร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3GA3LoN


เกี่ยวกับอินฟินิกซ์

อินฟินิกซ์ โมไบล์ (Infinix Mobile) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2556 เป็นแบรนด์สมาร์ตโฟนที่ออกแบบ ผลิต และทำการตลาดโทรศัพท์มือถือให้ขยายตัวทั่วโลกภายใต้แบรนด์ อินฟินิกซ์ (Infinix) โดยมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยผสานเข้ากับมือถืออย่างพิถีพิถัน นำเสนอสไตล์ที่โดดเด่น เด็มเปี่ยมไปด้วยพลังและประสิทธิภาพ เป็นอุปกรณ์ที่ทันสมัยและเป็นที่ต้องการของผู้ใช้งานในทุกย่างก้าว ด้วยแนวคิดที่เป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์อย่าง  “THE FUTURE IS NOW”  พร้อมกับแสดงตัวตนให้โลกได้เห็นว่าอินฟินิกซ์มุ่งมั่นที่จะนำเสนอเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ตลอดจนรูปลักษณ์ที่เฉียบและมีสไตล์สำหรับผู้ใช้งานที่ไม่อยากตกเทรนด์

กลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ มีการจำหน่ายในกว่า 40 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมทั้งทวีปแอฟริกา ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้ โดยในช่วงปี พ.ศ. 2561 - 2563 อินฟินิกซ์ (Infinix) ได้ขยายตัวถึง 160% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน  และมีแผนใหญ่ที่จะสร้างมือถือระดับเรือธงที่มีดีไซน์ที่โดดเด่นและข้อเสนอที่คุ้มค่าอย่างต่อเนื่อง ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.infinixmobility.com

เกี่ยวกับวีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย)

บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด (เดิมชื่อบริษัทเดอะแวลลูซิสเตมส์ จำกัด) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี          พ.ศ. 2531 ปัจจุบันเป็นบริษัทหนึ่งในเครือของวีเอสที อีซีเอสกรุ๊ป ประเทศฮ่องกง ผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้าไอทีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคที่มีช่องทางการจัดจำหน่ายกว่า 48,000 รายกระจายอยู่ในประเทศจีน, ไทย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา, เมียนมาร์ และลาว

วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) ดำเนินธุรกิจเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าด้านไอทีผ่านทางธุรกิจ 4 กลุ่มหลัก        คือ คอนซูเมอร์, คอมเมอร์เชียล, โซลูชัน และดีไวซ์แอนด์ไลฟ์สไตล์ ภายใต้แบรนด์ชั้นนำระดับโลกกว่า 50 แบรนด์ มีสำนักงานสาขาที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ซึ่งเปิดดำเนินการเมื่อเดือนเมษายน 2557 ในชื่อ บริษัท วีเอสที อีซีเอส (เมียนมาร์) จำกัด และที่ราชอาณาจักรกัมพูชา เปิดดำเนินการเมื่อเดือนพฤษภาคม 2558 ในชื่อบริษัท วีเอสที อีซีเอส (กัมพูชา) จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจด้านเอนเตอร์ไพรส์ซิสเตมส์โดยเฉพาะ ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) ได้ที่ www.vstecs.co.th

Share:

ผู้ป่วยมะเร็งตับวอนภาครัฐขยายสิทธิประโยชน์ด้านยา เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และยกระดับมาตรฐานการรักษาทัดเทียมสากล

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย - เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคมพิทักษ์สิทธิข้าราชการ (ORWA) ร่วมกับ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านมะเร็ง โรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี, มูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง (TCS), มูลนิธิมิตรภาพบำบัด และมูลนิธิรักษ์ตับ ร่วมกันจัดงานเสวนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เรื่อง “การรักษาโรคมะเร็งตับด้วยยานวัตกรรม” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารือ แลกเปลี่ยนข้อเท็จจริง และรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อแสวงหาแนวทางปรับปรุงสิทธิเบิกจ่ายยารักษามะเร็งตับให้เป็นปัจจุบันและเทียบเท่ามาตรฐานระดับสากล ซึ่งจะช่วยขยายโอกาสการเข้าถึงการรักษาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับในประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้น 

มะเร็งตับ ถือได้ว่าเป็นความท้าทายด้านสุขภาพอันดับ 1 ของประเทศ ด้วยอุบัติการณ์และอัตราการเสียชีวิตที่สูงและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีอีกด้วย เฉพาะปี พ.ศ. 2563 เพียงปีเดียว สถิติจากองค์การอนามัยโลก (WHO)  เผยว่าพบผู้ป่วยโรคมะเร็งตับรายใหม่จำนวนมากถึง 27,394 ราย และโรคนี้คร่าชีวิตคนไทยไปถึง 26,704 ราย โดยผู้ป่วยมะเร็งตับส่วนใหญ่เป็นเพศชาย และมักตรวจพบในช่วงอายุระหว่าง 41-50 ปี  ดังนั้น ความเจ็บป่วยและการเสียชีวิตจากมะเร็งตับจึงก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงต่อทรัพยากรบุคคล อันเป็นกำลังสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการรักษาซึ่งมีมูลค่าค่อนข้างสูงยังก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ และสร้างความกังวลให้แก่ผู้ป่วยและครอบครัว จนทำให้ผู้ป่วยบางรายไม่อาจเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพได้ 

ภายในงานเสวนายังมีผู้ป่วยมะเร็งตับชนิด Hepatocellular Carcinoma ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดในไทย มาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์การรักษา โดย ดาบตำรวจรักชาติ เรือนคำ ผู้ป่วยมะเร็งตับ ระยะลุกลามซึ่งไม่สามารถผ่าตัดได้ เล่าว่า “ตอนแรกแพทย์พิจารณาจ่ายยามุ่งเป้าภายใต้โครงการเบิกจ่ายตรง (OCPA) ให้ แต่ทว่าเมื่อติดตามผลการรักษาไปสักระยะหนึ่ง กลับพบว่าเซลล์มะเร็งลุกลามเพิ่มขึ้น ผมได้รับคำแนะนำว่าให้ใช้นวัตกรรมการรักษาด้วยยากลุ่มภูมิคุ้มกันบำบัดร่วมกับยาต้านการสร้างหลอดเลือด แต่การที่ยากลุ่มดังกล่าวไม่สามารถเบิกจ่ายได้ตามสิทธิข้าราชการ ทำให้ผมและครอบครัวแบกรับภาระค่าใช้จ่ายซึ่งมีราคาแพงไม่ไหว ในที่สุดจึงตัดสินใจรับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดแทน และต้องเผชิญกับผลข้างเคียงค่อนข้างมาก เช่น อาการชาตามร่างกาย และอาการมีนจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในชีวิตประจำวัน ส่วนในช่วงพักการให้ยาเคมีบำบัด ก็รู้สึกจุกแน่นบริเวณหน้าอก ดังนั้น ผมอยากขอร้องให้ทางกรมบัญชีกลางขยายตัวยาบางอย่างให้สามารถเบิกจ่ายได้” 

ขณะที่ นายอิทธิเชษฐ์ วงศ์เพ็ชร ผู้ป่วยมะเร็งตับอีกท่านหนึ่ง ที่มีโอกาสร่วมงานเสวนาเพื่อสะท้อนถึงปัญหาความไม่เท่าเทียมของการเข้าถึงยาที่จำเป็น เนื่องจากต้องยอมจ่ายค่ายานวัตกรรมซึ่งไม่อยู่ในสิทธิบัตรทองด้วยตนเอง กล่าวว่า “เมื่อรักษาไปตามขั้นตอน ประมาณเข็ม 2 เข็ม 3 อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากเดิมที่แทบลุกไม่ไหว ก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป ผมอยากเห็นกองทุนบัตรทองช่วยเหลือประชาชนได้มากกว่านี้ ประเทศไทยยังผู้ป่วยที่ไม่แบกรับภาระค่ารักษาไม่ไหวอยู่อีกมาก”

ความก้าวหน้าทางการแพทย์ทุกวันนี้ทำให้บุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยมีตัวเลือกในการรักษาด้วยยานวัตกรรมมากกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต นายแพทย์ภาสกร วันชัยจิระบุญ อายุรแพทย์มะเร็งวิทยา รองประธานศูนย์ความเป็นเลิศด้านโรคมะเร็ง โรงพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี อธิบายถึงแนวทางการรักษามะเร็งตับว่า “นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ยานวัตกรรม ซึ่งประกอบด้วย ยากลุ่มภูมิคุ้มกันบำบัดร่วมกับยาต้านการสร้างหลอดเลือด มีข้อบ่งใช้ให้เป็นการรักษาขนานแรก (first line therapy) พร้อมทั้งมีหลักฐานทางวิชาการที่แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการรักษาและเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับได้สูงกว่ายากลุ่มยับยั้งไทโรซีนไคเนสอย่างมีนัยยะสำคัญ คือจาก 10-13 เดือน เป็น 19 เดือน  รวมถึงเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งได้มากขึ้น อีกทั้ง แนวทางการรักษาโรคมะเร็งตับในระดับสากลได้ระบุให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ ระยะลุกลามหรือไม่สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด ควรได้รับยยากลุ่มภูมิคุ้มกันบำบัดร่วมกับยาต้านการสร้างหลอดเลือดเป็นยาขนานแรกในการรักษา”

แม้ประชาชนไทยจะได้รับความคุ้มครองด้านสุขภาพจาก 3 กองทุน ได้แก่ สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ สิทธิประกันสังคม และกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ แต่ทุกวันนี้ผู้ป่วยมะเร็งตับกลับต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านการเบิกจ่าย เนื่องจากยังไม่สามารถเบิกจ่ายยานวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพในการรักษาได้ “แม้ค่าบริการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งตับระยะเริ่มต้นที่สามารถผ่าตัดได้ จะอนุญาตให้มีการเบิกจ่าย แต่ผู้ป่วยโรคมะเร็งตับระยะลุกลามสามารถเบิกจ่ายค่ายามะเร็งแบบมุ่งเป้ายับยั้งไทโรซีนไคเนสได้เฉพาะสิทธิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ (กรมบัญชีกลาง) ขณะที่ชุดสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ไม่ได้ระบุการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด หรือยามะเร็งแบบมุ่งเป้า  หรือยาภูมิคุ้มกันบำบัดไว้อย่างชัดเจน” นายแพทย์ภาสกร วันชัยจิระบุญ กล่าวเสริม

นอกจากนี้ พลตรีหญิงพูลศรี เปาวรัตน์ นายกสมาคมพิทักษ์สิทธิข้าราชการ ยังได้อภิปรายถึงปัญหาของการเบิกจ่ายของกระทรวงการคลัง (สิทธิสวัสดิการข้าราชการ) “ปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ไม่สามารถเบิกจ่ายบริการตรวจคัดกรอง วินิจฉัย และ/หรือ รักษาโรคมะเร็งตับบางรายการได้ รวมถึงระเบียบของการเบิกจ่ายมีความซับซ้อนและมีหลายขั้นตอน ทำให้ผู้ป่วยบางคนต้องสำรองค่าใช้จ่าย ด้วยเหตุนี้ สมาคมฯ จึงมีข้อเสนอแนะให้ปรับปรุงรูปแบบการเบิกจ่ายที่ผู้ให้บริการและผู้ป่วยสามารถปฏิบัติได้ง่ายขึ้น รวมถึงควรบูรณาการบริการของทั้ง 3 กองทุนให้มีความเท่าเทียมกันโดยยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก”

สุดท้ายนี้ ทุกฝ่ายที่ส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานที่กำหนดนโยบาย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และภาคประชาสังคม ควรให้ความสำคัญต่อการรับมือกับโรคมะเร็งตับอย่างจริงจัง เพื่อให้การดูแลและรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งในประเทศไทยได้มาตรฐานทัดเทียมกับระดับสากล รวมทั้ง เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนเพื่อผลักดันการเข้าถึงยานวัตกรรม ซึ่งมีหลักฐานทางวิชาการสนับสนุนว่ามีประสิทธิภาพในการดูแลและรักษาผู้ป่วยให้มีอายุยืนยาวและทำให้คุณภาพชีวิตดียิ่งขึ้น 


Share:

Alliance Francaise Bangkok จะจัดงาน “European Gastronomy & Tourism Fair” ในวันเสาร์ที่ 29 มกราคมนี้ ที่สมาคมฝรั่งเศสกรุงเทพ เข้าชมงานฟรี !!ตลอดงาน

Alliance Francaise Bangkok จะจัดงาน “European Gastronomy & Tourism Fair”  ในวันเสาร์ที่ 29 มกราคม เวลา 10.00-16.00 น ที่สมาคมฝรั่งเศสกรุงเทพ  เข้าชมงานฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย

ภายในงานนี้จะมีการแสดงนิทรรศการอาหารและเครื่องดื่มจากแหล่งผลิตหลากหลายจากทั่วยุโรปมาจัดแสดงในงาน ท่านจะได้ลิ้มลองอาหารยุโรปที่หลากหลายและมุมมองการท่องเที่ยวใหม่ๆ นอกจากนั้น บริษัท เซทแอนด์เซิร์ฟ เคเทอริ่ง จำกัด และบริษัท กู๊ดดริ้ง2018 จำกัด ได้มีโอกาสนำผลิตภัณฑ์ ภายใต้บริษัทฯ เข้าร่วมด้วย

ซึ่งงานนี้จัดขึ้นโดย สถานทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย และคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย, สถานเอกอัครราชทูตและหอการค้าเบลเยี่ยม, ฟินแลนด์, เยอรมัน, อิตาลี, ลักเซมเบิร์ก, โปแลนด์, โรมาเนีย และสเปน

เชิญผู้สนใจเข้าร่วมงานและชมงานนี้ฟรีตลอดงาน

Share:

บำรุงราษฎร์ ประกาศความสำเร็จในการรักษาโรคต่อมลูกหมากโตด้วยไอน้ำ ส่งมอบผลลัพธ์ทางการรักษาเชิงบวก สร้างความพึงพอใจให้ผู้ป่วยกว่า 70 – 95%

  

ปัจจุบันนวัตกรรมทางการแพทย์มีความก้าวหน้าอย่างมาก การศึกษาวิจัยด้านการแพทย์ยังเดินหน้าคิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีการรักษาแบบแผลเล็กอย่างต่อเนื่อง (Minimally Invasive Surgery) เพื่อให้อวัยวะได้รับความเสียหายน้อยที่สุดจากการผ่าตัดแผลเล็กหรือจากการรักษาด้วยเทคนิคต่างๆ โดยแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทาง ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยได้รับความเจ็บปวดน้อยลง รักษาตัวในโรงพยาบาลสั้นลง และเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยลง ขณะเดียวกันก็คำนึงถึงประสิทธิภาพในการรักษาควบคู่กันไปด้วย


ภญ. อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปิดเผยว่า “บำรุงราษฎร์ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการยกระดับคุณภาพมาตรฐานเพื่อประสิทธิภาพการรักษาที่ดียิ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหนึ่งในวิสัยทัศน์คือการนำเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยเข้ามาปรับใช้ในบำรุงราษฎร์เพื่อให้ผู้ป่วยในประเทศไทยสามารถเข้าถึงการรักษาที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างครอบคลุม ภายใต้การรักษาที่มีประสิทธิภาพของทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ พยาบาล และสหสาขาวิชาชีพ ที่ทำงานร่วมกับเป็นทีมอย่างมืออาชีพ และล่าสุดศูนย์ทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้นำเทคโนโลยีในการรักษาต่อมลูกหมากโตด้วยไอน้ำ (Water Vapor Therapy) โดยไม่ต้องผ่าตัด เข้ามาใช้รักษาผู้ป่วยเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อต้นเดือนกันยายน 2564 ซึ่งได้ผลตอบรับจากผู้ป่วยในระดับที่ดีและมีผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจ”

นพ. วิโรจน์ ชดช้อย หัวหน้าศูนย์ทางเดินปัสสาวะ และแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์ยูโรวิทยา โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า “ปัจจุบัน มีผู้ป่วยโรคต่อมลูกหมากโตรักษาด้วยไอน้ำ จำนวน 65 ราย มีอายุระหว่าง 60 – 80 ปี ที่เข้ารับการรักษาในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ผู้ป่วยรู้สึกพึงพอใจผลการรักษาในระดับสูง ร้อยละ 70 - 95 ซึ่งแพทย์ได้มีการนัดติดตามผล จำนวน 53 ราย เพื่อประเมินผลลัพธ์หลังการรักษา 1 เดือน โดยภาพรวมการปัสสาวะของผู้ป่วยดีขึ้น ประกอบด้วย ผู้ป่วยสามารถปัสสาวะพุ่งแรงขึ้น และมีอัตราพุ่งแรงสูงสุดขณะปัสสาวะ เทียบระหว่างก่อนการรักษาอยู่ที่ 10.6 มิลลิลิตร/วินาที และหลังการรักษาเพิ่มขึ้นเป็น 22.5 มิลลิลิตร/วินาที, ผู้ป่วยรู้สึกปัสสาวะสุด โดยมีปริมาตรปัสสาวะคงเหลือลดลงเกือบ 3 เท่า (หรือ 90.7 -> 36.3 มิลลิลิตร) และมีปริมาณปัสสาวะในแต่ละครั้งมากขึ้นจากเดิมอยู่ที่ 194 เพิ่มขึ้นเป็น 288 มิลลิลิตร, มีการเสียเลือดในปริมาณน้อยมาก คือ 0-10 มิลลิลิตร ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้จะเห็นผลชัดเจนหลังเข้ารับการรักษา 1 เดือน และเห็นผลสูงสุดตั้งแต่เดือนที่ 3 หลังจากการรักษา”

ผลลัพธ์การรักษาในครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวความสำเร็จของบำรุงราษฎร์ในการรักษาผู้ป่วยโรคต่อมลูกหมากโตด้วยไอน้ำ ซึ่งถือเป็นการรักษาครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นนวัตกรรมการแพทย์สมัยใหม่ที่ใช้กระบวนการรักษาเพียง 10 – 15 นาที โดยที่ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล ฟื้นตัวเร็ว มีความเสี่ยงต่ำ อวัยวะบอบช้ำน้อยทำให้สามารถกลับมาสู่สภาพทางสรีรวิทยาและกลับมาใช้งานได้เป็นปกติมากที่สุด และไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพทางเพศหรือส่งผลน้อยมาก ที่สำคัญ วิธีนี้ยังสามารถใช้ได้กับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน หรือโรคอ้วน อีกด้วย  

โดยปัจจัยหลักๆ 3 ประการ ที่ทำให้ผู้ป่วยตัดสินใจเข้ารับการรักษาโรคต่อมลูกหมากโตด้วยไอน้ำ ประกอบด้วย

1.  เชื่อมั่นความชำนาญการและประสบการณ์ของทีมแพทย์ในการรักษาต่อมลูกหมากโตด้วยวิธีไอน้ำ โดยแพทย์ชำนาญการด้านศัลยศาสตร์ทางเดินปัสสาวะจะเป็นผู้ให้ข้อมูลและตอบข้อสงสัยอย่างละเอียดก่อนการรักษาเพื่อประกอบการตัดสินใจ โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาคัดเลือกผู้ป่วยที่เหมาะกับการรักษาด้วยวิธีนี้

2. ไว้วางใจการทำงานเป็นทีมที่ดีและมีประสิทธิภาพ โดยผู้ป่วยและครอบครัวผู้ป่วยจะรู้สึกเชื่อมั่น เมื่อเห็นถึงการทำงานของแพทย์และทีมที่ใส่ใจในรายละเอียดของผู้ป่วย โดยศูนย์ทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ถือเป็นหนึ่งในศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Excellence) ประกอบด้วยแพทย์เฉพาะทางผู้ชำนาญการด้านศัลยศาสตร์ยูโรวิทยาที่มีประสบการณ์เป็นผู้ทำหัตถการ พยาบาล เภสัชกร และทีมสหสาขาวิชาชีพที่มีความรู้และความชำนาญ พร้อมให้การดูแลผู้ป่วยตลอดระยะเวลาการรักษา รวมถึงติดตามผลหลังจากการรักษาเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยได้รับผลลัพธ์การรักษาที่ดีที่สุด

3.  มั่นใจในชื่อเสียงและมาตรฐานการรักษาของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ซึ่งให้การดูแลรักษาที่ครอบคลุม โดยเฉพาะด้านประสิทธิภาพในการรักษาเทียบเท่ามาตรฐานสากลและได้รับการยอมรับในระดับโลก รวมถึงพิจารณาจากผู้ป่วยทั่วโลกที่นิยมเดินทางเข้ามารักษาที่บำรุงราษฎร์เป็นจำนวนมาก  

นพ. ธีระพล อมรเวชสุกิจ แพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์ยูโรวิทยา โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวปิดท้ายว่า ศูนย์ทางเดินปัสสาวะเชื่อมั่นว่าหลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง จะมีผู้ที่มีอาการปัสสาวะไม่พุ่ง ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ ตื่นปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน ปัสสาวะเสร็จแล้วแต่รู้สึกไม่สุด หรือมีอาการต่างๆ เกี่ยวกับต่อมลูกหมาก เข้ามารับการรักษาที่บำรุงราษฎร์มากยิ่งขึ้น เนื่องจากปัญหาต่างๆ นี้ ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก โดยขอยกตัวอย่างผู้ป่วยจำนวนหนึ่งได้แบ่งปันความรู้สึกหลังการรักษาว่า

ผู้ป่วยรายหนึ่งออกกำลังกายด้วยการวิ่ง แล้วต้องคอยแวะเข้าห้องน้ำตลอดเวลา แต่ทุกวันนี้เขากังวลกับเรื่องนี้น้อยลง และทำให้เขาวิ่งได้ระยะไกลขึ้นอย่างสบายใจ

ผู้ป่วยรายหนึ่งเคยรักษาด้วยวิธีกินยาแต่ก็ไม่ค่อยเห็นผลเท่าที่ควร แต่หลังจากเข้ารักษาด้วยเทคโนโลยีไอน้ำ ทำให้ไม่ต้องพะว้าพะวงกับการปัสสาวะอีกต่อไป

ผู้ป่วยบางรายใช้เวลาในการเข้าห้องน้ำนานถึง 5 - 10 นาที เพราะปัสสาวะไหลแผ่ว ไม่ต่อเนื่องและรู้สึกไม่สุดสักที แต่วันนี้เขาสามารถใช้เวลาเข้าห้องน้ำเหมือนคนปกติอีกครั้ง                                                 

ที่ผ่านมา ศูนย์ทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ไม่เคยหยุดพัฒนาและมุ่งยกระดับการรักษาในทุกปัญหาเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก มะเร็งต่อมลูกหมาก รวมถึงโรคที่เกี่ยวกับอวัยวะเพศทั้งชายและหญิงได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน ศูนย์ทางเดินปัสสาวะมีแพทย์ชำนาญการรวมกว่า 25 ท่าน สามารถวิเคราะห์โรคและให้ข้อมูลได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ทันท่วงที พร้อมเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ และบุคลากรที่ทุ่มเทและใส่ใจในการรักษาโดยคำนึงถึงผู้ป่วยเป็นหัวใจสำคัญ


Share:

สั่งให้ชะลอโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำบริเวณผืนป่ามรดกโลกดงพญาเย็น–เขาใหญ่ออกไปก่อน พร้อมทั้งจัดทำประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) คาดว่าจะใช้เวลา​ 2​ ปี

นางสุนีย์​ ศักดิ์เสือ​ ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ​ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช​ เปิดเผย igreen ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานได้เห็นชอบให้ชะลอโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำบริเวณผืนป่ามรดกโลกดงพญาเย็น–เขาใหญ่ทั้งหมดออกไปก่อน 

และให้กรมชลประทานในฐานะเจ้าของโครงการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment-SEA) ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ​ 2​ ปี 

สำหรับขั้นตอนและองค์ประกอบการจัดทำ SEA อยู่ระหว่างการกำหนดขอบเขตและรายละเอียดในการศึกษาโดยจะบูรณาการกับหลายหน่วยงาน เช่น กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และกรมอุทยานฯ ตลอดจนภาคประชาชน โดยเน้นการรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ในการศึกษานอกจากเรื่องผลกระทบในแต่ละด้านแล้ว คณกรรมการชุดดังกล่าวจะต้องเสนอทางเลือกด้วย เมื่อแล้วเสร็จก็จะนำเสนอให้คณะอนุกรรมการมรดกโลกทางธรรมชาติพิจารณาเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกต่อไป

นอกจากนี้ นางสุนีย์​ กล่าวระหว่างร่วมเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ภายใต้หัวข้อ “เขาใหญ่ไปทางไหนดี” ณ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปี อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เมื่อวันที่ 22​ มกราคม 2565 ตอนหนึ่งว่า มติที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก​ สมัยสามัญ ครั้งที่ 44 ได้แสดงข้อกังวลภาวะอันตรายที่อาจจะทำให้เขาใหญ่เสี่ยงต่อการหลุดจากมรดกโลก​ 

ยกตัวอย่างเช่น โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ​ โดยเฉพาะพื้นที่ป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่​ ลุ่มน้ำปราจีน​ บางปะกง​ ปลายลุ่มน้ำมูล​ ซึ่งมีข้อเสนอให้พัฒนาแหล่งน้ำ​ 7-8 โครงการรอบเขาใหญ่​ ทั้งใสน้อย-ใสใหญ่​ คลองมะเดื่อ​ คลองพญาธาร​ ประเด็นนี้คณะกรรมการมรดกโลกมองว่าเป็นภัยคุกคาม​ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อคุณค่าในพื้นที่

ประเด็นต่อมาคือ การลักลอบตัดไม้พะยูง​ซึ่งมีชาวต่างชาติลักลอบเข้ามาตัดไม้อย่างต่อเนื่อง​ และที่ผ่านมากรมอุทยานฯ ได้ดำเนินมาตรการอย่างเข้มข้นมาโดยตลอด​ โดยเจ้าหน้าที่เขาใหญ่มีการเดินลาดตระเวนครอบคลุมพื้นที่ถึง​ 70-80% และหัวหน้าอุทยานฯ​ ร่วมเดินลาดตระเวนกับลูกน้องเพื่อเป็นขวัญกำลังใจด้วย

เรื่องที่สามคือ​ กฎหมายใหม่​ที่คณะกรรมการมรดกโลกมองว่าอาจส่งผลกระทบด้านลบต่อพื้นที่หรือไม่​ และสุดท้ายคือประเด็นการท่องเที่ยว​ เนื่องจากเขาใหญ่มีการกระจุกตัวการท่องเที่ยวอย่างหนาแน่น​ จึงอาจต้องบริหารจัดการเพื่อกระจายการท่องเที่ยวไปในอุทยานแห่งชาติรอบข้างด้วย

อย่างไรก็ตาม การประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยสามัญ ครั้งที่ 44 ที่ประเทศจีน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16 - 31 กรกฎาคม 2564 โดยได้มีมติให้ไทยดำเนินการเกี่ยวกับแหล่งมรดกทางธรรมชาติดงพญาเย็น-เขาใหญ่ 6 ข้อ ดังนี้

1.ให้กำหนดนิยามในการบ่งชี้แผนปฏิบัติการ เพื่อให้มั่นใจว่ามีวิธีการตรวจสอบที่เพียงพอในการวัดประสิทธิผลในการดำเนินการตามคำแนะนำขอคณะผู้ติดตามตรวจสอบ (Reactive Monitoring mission) เมื่อปี 2559

2. ให้ดำเนินการติดตามผลอย่างใกล้ชิดว่าการออกกฎหมายใหม่ส่งผลต่อความครบถ้วนสมบูรณ์ของแหล่งอย่างไร และให้แน่ใจว่ามีการใช้มาตรการที่เหมาะสมในการป้องกันการบุกรุกพื้นที่แหล่งอย่างผิดกฎหมาย

3. ให้ดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่ามีมาตรการบรรเทาผลกระทบและการติดตามผลกระทบจากการดำเนินการภายหลังการก่อสร้างเขื่อนห้วยโสมงและทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 304 เพื่อลดผลกระทบต่อคุณค่าความโดดเด่นอันเป็นสากลของเหล่ง

4. ยินดีที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ยุติการขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 348 และหาทางเลือกอื่นเพื่อทบทวนความจำเป็นและเหมาะสมในการก่อสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำในพื้นที่แหล่ง และการยกเลิกโครงการก่อสร้างเขื่อนลำพระยาธารเพื่อลดผลกระทบทางลบต้อคุณค่าความโดดเด่นอันเป็นสากลของแหล่ง และได้รับรายงานว่ามีการพัฒนาโครงการเขื่อนหลายโครงการในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียง จึงขอย้ำให้ยกเลิกแผนการก่อสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำภายในพื้นที่แหล่งอย่างถาวร

5. ให้ดำเนินการประเมินสิ่งแวดล้อมเชิงกลยุทธ์ (SEA) สำหรับพื้นที่ลุ่มน้ำ รวมถึงแหล่งมรดกโลกเพื่อรายงานแผนการจัดการและแผนการพัฒนาในอนาคตของพื้นที่ลุ่มน้ำ และสำหรับข้อเสนอโครงการก่อสร้างเขื่อนโดยรอบพื้นที่แหล่งมรดกโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อคณะค่าความโดดเด่นอันเป็นสากลของแหล่ง ให้ระงับการดำเนินการจนกว่าการประเมินสิ่งแวดล้อมเชิงกลยุทธ์จะแล้วเสร็จ และได้รับการตรวจสอบโดยศูนย์มรดกโลกและสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ (IUCN)

6. ให้จัดส่งรายงานสถานภาพการอนุรักษ์แหล่งมรดกโลกพื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น – เขาใหญ่ และรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินงานภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลกพิจารณาในการประชุมสมัยสามัญ ครั้งที่ 45 ในปี 2565

ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำหรือเขื่อนในพื้นที่ป่ามรดกโลกดงพญาเย็น-เขาใหญ่ โดยกรมชลประทานจำนวน 7 แห่ง ซึ่งเข้าข่ายเสี่ยงอันตรายต่อความเป็นมรดกโลก ประกอบด้วย ดังนี้

1. โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยสะโตน จ.สระแก้ว พื้นที่รวม 4,753 ไร่ 
2. โครงการอ่างเก็บน้ำคลองมะเดื่อ จ.นครนายก พื้นที่รวม 1,853 ไร่ 
3. โครงการอ่างเก็บน้ำใสน้อย-ใสใหญ่ มีพื้นที่ประมาณ 8,500 ไร่ 
4.โครงการอ่างเก็บน้ำลำพระยาธาร มีพื้นที่ประมาณ 2,800 ไร่ 
5. โครงการอ่างเก็บน้ำคลองวังมืด มีพื้นที่ประมาณ 2,400 ไร่ 
6. โครงการอ่างเก็บน้ำคลองบ้านนา มีพื้นที่ประมาณ 1,419 ไร่ และ 
7. โครงการอ่างเก็บน้ำคลองหนองแก้ว พื้นที่ประมาณ 133 ล้าน ลบ.ม. 

ทั้งนี้ หลังจากกรมชลประทานพยายามผลักดันโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำบริเวณ โดยรอบผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ มูลนิธิสืบนาคะเสถียรและเครือข่ายองค์กรอนุรักษ์ได้คัดค้านการผลักดันโครงการมาเป็นระยะ เนื่องจากเห็นว่าจะส่งผลกระทบต่อความเป็นมรดกโลก 

#ดงพญาเย็นเขาใหญ่ #มรดกโลกทางธรรมชาติ #คัดค้านสร้างเขื่อนเขาใหญ่

Share:

ครบรอบ 60 ปี อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จัดเวทีเสวนา “เขาใหญ่ไปทางไหนดี”

 

เนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปี อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ สมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่ ร่วมมือกับ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จัดเวทีเสวนาภายใต้หัวข้อ “เขาใหญ่ไปทางไหนดี” ในวันที่ 22-23 มกราคม 2565 ณ ลานเวที ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ในงาน “60 ปี อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มรดกไทย มรดกโลก”

คอนเซ็ปต์ของงานครบรอบ 60 ปี อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เป็นการจัดเวทีเสวนาเพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ โดยในวันเสาร์ที่ 22 มกราคม 2565 ได้มีการจัดเสวนาภายใต้หัวข้อ “Green To Grow” ​​ดำเนินรายการโดย นายณรงค์ฤทธิ์ สุขไชยปราการ เลขาธิการสมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่และผู้ก่อตั้งสวนเอเดน ออร์แกนิกส์ ร่วมพูดคุยกับ นางสาวเจน จงสถิตย์วัฒนา กรรมการผู้จัดการโรงแรมเรนทรี เรนซิเดนซ์ เขาใหญ่และนายกสมาคมการโรงแรมภาคอีสาน นางสาวประภาพร หลำเจริญ ผู้จัดการลีลาวลัย รีสอร์ท และ นายพีระ สุชฎา ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบน้ำและสิ่งแวดล้อม โดยหลักพูดถึงหลัก Green Hotel 6 หลัก

1.นโยบายรักษาสิ่งแวดล้อมของแต่ละสถานประกอบการ 
2.การพัฒนาและให้ความรู้บุคลากร 
3.การประชาสัมพันธ์ให้คนภายนอกหรือแขกที่มาพักเข้าใจถึงความ “Green” 
4.การจัดซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าหรือสิ่งของในสถานประกอบการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 
5.การจัดการพลังงานและการจัดการขยะ 
6.การทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่น เช่น นำผลิตภัณฑ์ที่มาจากชุมชนมาใช้เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ในชุมชน จ้างพนักงานท้องถิ่น หรือทำกิจกรรมร่วมกับผู้ใหญ่บ้าน

ในช่วงท้ายของการเสวนา นายอดิศักดิ์ ภูสิทธิ์วงศานุยุต หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ยังได้พูดถึงทิศทางของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ว่าจะเป็นอย่างไรในอนาคต โดยได้มีการกล่าวถึงการทำงานร่วมกันกับผู้ประกอบการ เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของเขาใหญ่ 

เช่น การสร้างมาตรฐานอุทยานให้เท่าเทียมและสอดคล้องกับผู้ประกอบการการท่องเที่ยวด้านล่าง การนำเทคโนสมัยใหม่มาปรับใช้  การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์ GIS ในการจัดหน่วยลาดตระเวนรอบอุทยานแห่งชาติและพื้นที่ป่าอนุรักษ์อย่างเป็นระบบ ติดตั้ง CCTV ทั่วเขาใหญ่ 

นอกจากนี้ นางสุนีย์​ ศักดิ์เสือ​ ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ​ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช​ กล่าวถึง แผนการชะลอโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำบริเวณผืนป่ามรดกโลกดงพญาเย็น–เขาใหญ่ ที่ได้รับการเห็นชอบจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก และให้กรมชลประทานในฐานะเจ้าของโครงการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment-SEA) คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ​ 2​ ปี

ในส่วนของกิจกรรมเสวนาในวันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม 2565 ภายใต้หัวข้อ มองอย่างไรเพื่อพัฒนาศักยภาพเพื่อ “Good Food For All” ดำเนินรายการโดย นางสาวพันชนะ วัฒนเสถียร นายกสมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่ และร่วมพูดคุยโดย นพ.วัชระ พุ่มประดิษฐ์ ผู้อำนวยการบริษัท คะตะลิสต์ จำกัด และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาโรคติดเชื้อ นายเขมรัช อมรวัตพงศ์ Project Manager โครงการ Investing in Others in Southeast Asia, World Animal Protection และผู้ก่อตั้ง Good Mission นายนรินทร์ ปราณีกิจ ประธานสมาพันธ์เกษตรกรรมยั่งยืนจังหวัดนครราชสีมา  นายอดิศักดิ์ ภูสิทธิ์วงศานุยุต หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และนายวิโรจน์ อรุณพันธุ์ ประธานชมรมผู้ประกอบการร้านอาหารอำเภอปากช่อง 

ในการเสวนาได้มีการให้ความรู้เกี่ยวกับ Cage Free Eggs หรือ ไข่ไก่ไร้กรง เพื่อเป็นการรณรงค์เรื่องสวัสดิภาพสัตว์และระบบอาหารที่ยั่งยืน จากเดิมที่ แม่ไก่ถูกเลี้ยงอย่างทรมานในกรงตับ (battery cage) โดยจะถูกบังคับให้อยู่แต่ในกรงแคบ ๆ แออัดกัน ถ้าเปรียบกับคนก็คือการจับคน 32 คน ยัดเข้าไปอยู่รวมกันในคอนโดขนาดสตูดิโอ 28 ตารางเมตรตลอดชีวิต ไข่ไก่ไร้กรงจึงเป็นการเปลี่ยนระบบการเลี้ยงสัตว์ที่ขาดจริยธรรมต่อสัตว์ ไปสู่การผลิตอาหารที่มีจริยธรรม ทั้งต่อสัตว์และมนุษย์ และเพื่อการดำรงอยู่ของคนและสัตว์อย่างเป็นสุขและสมดุล

งานเสวนาที่จัดขึ้นในวันที่ 22-23 มกราคม 2565 ภายใต้หัวข้อ"เขาใหญ่ไปทางไหนดี” มีความสอดคล้องกับเป้าหมายหลักของสมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่ใน ปี 2565 ซึ่งคือการมุ่งเน้นการพัฒนาเขาใหญ่ ภายใต้ธีม “เขาใหญ่ยั่งยืน” ประกอบด้วย 5 เสาหลัก ได้แก่ 

1.Smart Green and Clean Khao Yai เขาใหญ่พัฒนาเมือง 
2.Khao Yai Food Bank ธนาคารความมั่นคงของอาหารและเกษตรอินทรีย์ 
3.Sustaining Khao Yai World Heritage ดูแลปกป้องมรดกโลกของเขาใหญ่ให้ยั่งยืน 
4.Khao Yai, a City of Compassion เขาใหญ่ศูนย์กลางจิตอาสา 
5.Khao Yai all-year Tourism เขาใหญ่ท่องเที่ยวยั่งยืน ม่วนชื่นทั้งปี

ทั้งนี้ ทางสมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่ จึงได้จัดตั้ง “กองทุนเขาใหญ่ยั่งยืน” เพื่อระดมทุนสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ พัฒนา ตลอดจนสนับสนุนทุนการศึกษาให้กับบุตรหลานผู้พิทักษ์ป่า หรือในยามที่เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ เช่น ไฟป่า หรือ อุบัติเหตุ กองทุนเขาใหญ่ยั่งยืนมีเป้าหมายในการจัดสรรเงินรายรับ 50% เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว และอีก 25% เพื่อกิจกรรมต่าง ๆ ของสมาคม ฯ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย “เขาใหญ่ยั่งยืน” ตามเสาหลัก 5 ประการ และอีก 25% เพื่อสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ พัฒนา เพื่อให้เกิดจิตสำนึกรัก เข้าใจและใส่ใจสิ่งแวดล้อมในพื้นที่มรดกโลกอย่างยั่งยืน

ขอเเชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมสมทบกองทุน ฯ ได้ที่บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา เทสโก้ โลตัส ปากช่อง ชื่อบัญชี สมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่ เลขที่บัญชี 407-551226-4 หรือ มูลนิธิคุวานันท์ ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่บัญชี 109-249780-3 (ใบเสร็จรับเงินสามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้)  และโปรดส่งหลักฐานการโอนเงินได้ที่ ไลน์สมาคม ฯ @564awops โปรดระบุหมายเหตุการโอน สมทบกองทุน "เขาใหญ่ยั่งยืน" 
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 
คุณณัฐจิรา (ยุ้ย) 094-239-3916 
คุณพันชนะ (เต้) 092-645-5464 
และคุณประไพพิศ (จิ) 081-519-5665

Share:

อั่งเปา อินเลิฟ ร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน และวาเลนไทน์กับคนที่คุณรัก ที่โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย

 

"อั่งเปา อินเลิฟ" ❤ ️มาร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน และวาเลนไทน์กับคนที่คุณรัก  ที่โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย ห้องดีลักซ์ เริ่มต้นเพียง 1,608 บาท/คืน รวมอาหารเช้า สำหรับ 2 ท่าน จองและเข้าพักได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2565

พิเศษสุดๆ ! ช่วงเทศกาลตรุษจีน วันที่ 29 ม.ค. - 4 ก.พ. 2565 ห้องดีลักซ์ รวมอาหารเช้า และเซ็ทอาหารจีน 1 มื้อ สำหรับ 2 ท่าน เพียง 2,608 บาท/คืน ในระบบ New Normal พักแบบสบายใจไร้กังวล

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และจองห้องพักได้ที่ 👉🏻 https://bit.ly/3lolQP8

☎️ 052 055 888
📲 Line ID: theheritagechiangrai
📬 m.me/TheHeritageChiangRai
📩 reservation@heritagechiangrai.com
💻 www.heritagechiangrai.com



Share:

DIPROM ดัน วิสาหกิจชุมชน จัดกิจกรรมพัฒนาการค้าชุมชนสู่ตลาดสากลด้วย E-commerce มุ่งขยายส่งออกผลิตภัณฑ์ชุมชน

กลุ่มส่งเสริมการตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน กองพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จัดกิจกรรมพัฒนาการค้าชุมชนสู่ตลาดสากลด้วย E-Commerce เพื่อเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการ พัฒนาคนรุ่นใหม่ รวมถึงปรับรูปแบบธุรกิจ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด สร้างรายได้ ขยายโอกาสทางการค้าในเวทีโลก 

นายวัชรุน จุ้ยจำลอง ผู้อำนวยการกองพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน เปิดเผยผ่านพิธีเปิดการอบรมกิจกรรมพัฒนาการค้าชุมชนสู่ตลาดสากลด้วย E-Commerce ว่า ประเทศไทยได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตโควิด 19 ทั้งในระดับภูมิภาค และ ระดับประเทศ โดยเฉพาะขณะนี้เป็นการระบาดระรอกที่ 5 แล้ว ทำให้อุตสาหกรรมการส่งออกของไทยประสบกับปัญหา และกระทบไปทุกภาคส่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการรายเล็กตามชุมชนในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งกิจกรรมนี้ถือได้ว่ายังส่วนช่วยทำให้ผลิตภัณฑ์จากชุมชนของไทยที่มีมาตรฐานระดับประเทศได้ก้าวไกลสู่อินเตอร์ และสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการ และวิสาหกิจชุมชนในทุกภาคส่วน เพื่ออีกหนึ่งช่องทางที่จะช่วยส่งเสริม และผลักดันผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชน ซึ่งถือได้ว่าเป็นกำลังหลักของประเทศ ให้สามารถค้าขายได้ในระดับโลกในอนาคต

ด้วยเหตุนี้ กลุ่มส่งเสริมการตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน กองพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการสร้าง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทย จึงได้จัดตั้งกิจกรรม “พัฒนาการค้าชุมชนสู่ตลาดสากลด้วย E-commerce” ขึ้น โดยนำนวัตกรรมเทคโนโลยีของผ่าน VDO Conference ผ่านระบบ Zoom และคัดเลือกผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชนที่มีความสนใจเข้าร่วมโครงการ 33 ราย และจากนั้นจะทำการคัดเลือกผู้ประกอบการชุมชนให้เหลือจำนวนไม่น้อยกว่า 25 ราย เพื่อเข้าสู่กิจกรรมการเชื่อมโยงเพื่อต่อยอดธุรกิจสู่ประเทศคู่ค้าเป้าหมาย ผ่านกิจกรรม Business Matching online สู่ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 นี้


นางสาวสุปราณี หนองพล ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมการตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน ได้กล่าวเสริมว่า เพื่อเตรียมความพร้อม และพัฒนาศักยภาพ เพิ่มสมรรถนะในการทำธุกิจ ผ่านการประยุกต์ใช้องค์ความรู้ เทคนิคต่างๆ ด้านการบริหารธุรกิจ และนำเสนอขายผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนที่สนใจ และการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการจะได้รับการถ่ายทอดแนวคิด และเทคนิคการบริหารธุรกิจเพื่อการส่งออกพื้นฐานพร้อมด้วยการพัฒนาทักษะ E-commerce ผ่าน Platform online เป็นจำนวน 4 วัน โดยได้เชิญวิทยากรผู้มากความสามารถมา แบ่งปันความรู้ อาทิ

ศาสตราจารย์ ดร.พิริยะ ผลพิรุฬห์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาพัฒนาการเศรษฐศาสตร์ สถาบันบันฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ 

คุณศศิวิมล มีจรูญสม ผู้อำนวยการกองบริหารมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน สำนักมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม

คุณสุภาวดี คุ้มราษฎร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ 

คุณวราวุธ มีสายญาติ นายกสมาคมนักธุรกิจไทยใน สปป.ลาว

คุณชลิต ผลอินทร์หอม ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัทการบัญชีไทย จำกัด 

คุณญาณวิธ นราแย้ม กรรมการผู้จัดการบริษัท เดอะวันแค้มป์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด 

ซึ่งวิทยากรแต่ละท่านล้วนมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ซึ่งจะช่วยผลักดันและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน


 

Share:

Recent Posts

ค้นหาบล็อกนี้

Contact Us ::

📲 (+66) 081 4345154
✉️ Insightoutstory@gmail.com

Add Line📲 Click 👇👇

Translate

🚉 ช.ส.ท.พาเที่ยว นครฯ

Review By Nichapa

POPULAR NEWS

Fanpage Facebook

ป้ายกำกับ

คลังบทความของบล็อก