ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย-จีน ไตรมาส 3/2565 สถานการณ์ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อของชาติมหาอำนาจ และราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น สร้างความกังวลสูงต่อผู้ประกอบการ คาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาไตรมาสแรกของปีหน้า

นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน เปิดเผยว่า หอการค้าไทย-จีน และคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่น จากคณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คณะกรรมการบริหาร และสมาชิกหอการค้าไทยจีน และประธาน ผู้บริหาร กรรมการสมาพันธ์หอการค้าไทยจีน และกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าไทยจีน จำนวน 325 คน ระหว่างวันที่ 16 ถึง 24 มิถุนายน 2565 เพื่อคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 ได้ดังนี้ 

ในระยะเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์โลกมีการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน จากเหตุดังกล่าวจึงมีการสำรวจปัจจัยที่มีความกังวลที่เกิดมาจากสถานการณ์ในต่างประเทศ พบว่าผู้ให้ข้อมูลความกังวลในสองลำดับแรกคือสถานการณ์ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อของชาติมหาอำนาจ และราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น ที่สร้างความกังวลกับผู้ให้ข้อมูลเป็นอย่างมาก (เป็นจำนวนร้อยละ 76 และ 68 ตามลำดับ) ในขณะที่ความกังวลในลำดับรองลงมาคือราคาอาหารโลกที่เพิ่มสูงขึ้นและความผันผวนของตลาดการเงิน (เป็นจำนวนร้อยละ 38 และ 29 ตามลำดับ) จากสถานการณ์โควิดในวันนี้พบว่าผู้ให้ข้อมูลส่วนใหญ่มีความกังวลอยู่บ้างแต่ใช้ชีวิตที่ผ่อนคลายมากขึ้น (ร้อยละ 65) และอีกส่วนหนึ่งมีความกังวลพอควรและใช้ชีวิตระวังเช่นเดิม (ร้อยละ 20) และมีผู้ให้ข้อมูลบางส่วนได้หมดความกังวลแล้ว (ร้อยละ 11) สถานการณ์คลี่คลายความกังวลจากโควิดเป็นสัญญาณที่ดีมากต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ 

จากการปรับตัวของราคาพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นในไตรมาสที่สอง ผู้ให้ข้อมูล ได้แบ่งปันประสบการณ์ผลกระทบต่อต้นทุนทางธุรกิจ และพบว่าร้อยละ 50 ของผู้ให้ข้อมูลที่สำรวจมีต้นทุนการประกอบธุรกิจเพิ่มขึ้นระหว่างร้อยละ 10 ถึง 20 ร้อยละ 31 ของผู้ให้ข้อมูลมีต้นทุนเพิ่มขึ้นระหว่างร้อยละ 20 ถึง 40 และร้อยละ 12 ของผู้ให้ข้อมูลมีต้นทุนเพิ่มมากกว่าร้อยละ 40 จากประเด็นดังกล่าวจึงมีคำถามต่อเนื่องหากในสามเดือนหน้าราคาน้ำมันและวัตถุดิบยังคงเดิมเช่นวันนี้จะมีการปรับราคาสินค้าหรือไม่ พบว่าร้อยละ 51 ของผู้ให้ข้อมูลจะต้องปรับราคาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ร้อยละ 25 ของผู้ให้ข้อมูลต้องปรับราคาเพิ่มขึ้นให้เท่ากับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นดังที่ผ่านมา และมีเพียงร้อยละ 14 ยังรอการปรับราคาได้ แนวโน้มดังกล่าวส่งสัญญาณว่าปัญหาทางด้านเงินเฟ้อคงยังไม่ชะลอตัวลง

เมื่อได้สอบถามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศจีนกล่าวคือในระยะที่ผ่านมารัฐบาลจีนมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาของภาคอสังหาริมทรัพย์และกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ผู้ให้ข้อมูลร้อยละ 60 คาดว่าสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะต้องใช้เวลามากกว่าอีกหกเดือนจากวันนี้ ขณะที่ร้อยละ 34.5 คาดว่าต้องใช้เวลาระหว่างสามถึงหกเดือน จากนโยบายปลอดโควิดของจีนนั้นที่ทำให้เกิดการปิดบังเมืองชั่วคราว ผู้ให้ข้อมูลให้ข้อคิดเห็นว่านโยบายดังกล่าว มีผลต่อการส่งออกของประเทศไทยไปยังประเทศจีน โดยที่ร้อยละ 48 ของผู้ให้ข้อมูลระบุว่ามีผลกระทบเป็นอย่างมาก และร้อยละ 31 มีผลกระทบพอประมาณ จากสถานการณ์ภายในประเทศจีนต่อการเดินทางไปต่างประเทศ ร้อยละ 44 ของผู้ให้ข้อมูลคาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาเยือนประเทศไทยในไตรมาสแรกของปี 2566 ในขณะที่ร้อยละ 16 ของผู้ให้ข้อมูลคาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมายืนเมืองไทยก่อนสิ้นปี 2565 ส่วนผู้ให้ข้อมูลที่เหลือคาดว่าต้องรอจนหลังไตรมาสที่สองของปี 2566 ที่นักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง 

ในเรื่องของการท่องเที่ยวอีกเช่นกันจากนโยบายผ่อนปรนจนกระทั่งไม่มีการตรวจโควิดกับนักท่องเที่ยวก่อนเข้าประเทศ ผู้ให้ข้อมูลร้อยละ 55 คาดว่าต้องใช้เวลาระหว่างสามถึงหกเดือน การท่องเที่ยวจะนำไปสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยอีกครั้งหนึ่งอย่างเต็มที่ ขณะที่ร้อยละ 36.8 คาดว่าต้องใช้เวลามากกว่าอีกหกเดือน 

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและไทย จากการสำรวจพบว่าร้อยละ 29 คาดว่าเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนโดยรวมของจีนในไตรมาสที่ 3 จะดีขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ในขณะที่ร้อยละ 43 คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะทรงๆ ส่วนร้อยละ 22 มีความเห็นว่าเศรษฐกิจจีนน่าจะเติบโตช้าลง ซึ่งผลการประเมินดังกล่าวได้สะท้อนถึงการคาดคะเนการส่งออกของไทยไปยังประเทศจีนในไตรมาสที่ 3 เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบันกล่าวคือ ร้อยละ 54 คาดว่าการส่งออกของไทยไปยังจีนจะเพิ่มขึ้น และ ร้อยละ 27 ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน การคาดคะเนการนำเข้านั้น ร้อยละ 58 คาดว่าการนำเข้าจากจีนจะเพิ่มสูงขึ้น และร้อยละ 23 การนำเข้าจะทรงตัว ส่วนผลของการสอบถามความคิดเห็น ด้านการลงทุนของจีนในไทย พบว่า ร้อยละ 56 ของผู้ให้ข้อมูลคิดว่าการลงทุนจากจีนในไทยในไตรมาสที่สามเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่สองจะเพิ่มขึ้นในขณะที่ร้อยละ 28 ของผู้ให้ข้อมูลคาดว่าการลงทุนจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน กล่าวโดยสรุปได้ว่าเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่น่าจะปรับตัวดีขึ้นบ้างในอีกสามเดือนหน้า และน่าจะมีผลที่ดีกับประเทศไทยในเรื่องการค้า และการลงทุนระหว่างประเทศ

การสำรวจการคาดการณ์สถานการณ์เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ของไทยโดยรวม ในไตรมาสที่ 3 เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบัน สรุปได้ว่าร้อยละ 52 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น ร้อยละ 25 จะทรงๆ ขณะที่ร้อยละ 20 ไตรมาสที่ 3 จะชะลอตัวลงอีก ทั้งนี้ภาคธุรกิจที่ยังสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในไตรมาสหน้า คือ ธุรกิจการท่องเที่ยว พืชผลการเกษตร ธุรกิจบริการสุขภาพ และธุรกิจออนไลน์ ส่วนธุรกิจที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือ ธุรกิจการท่องเที่ยว พืชผลการเกษตร และพลังงานและสาธารณูปโภค การสอบถามเพิ่มเติมในส่วนของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว พบว่าเป็นอุตสาหกรรมเป็นโอกาสของประเทศไทยที่สำคัญและจะนำไปสู่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้หากได้รับการแก้ไขอุปสรรคอย่าวรวดเร็ว

การคาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาสที่ 3 เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบัน ผู้ให้ข้อมูลร้อยละ 51 คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์น่าจะปรับตัวลดลง ร้อยละ 22 คาดว่าคงเดิม ร้อยละ 23 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น ส่วนแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาสหน้านั้น เสียงส่วนใหญ่ร้อยละ 57 คาดว่าเงินบาทจะมีค่าอ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา และอีกร้อยละ 17 คิดว่าถ้าเงินบาทจะอ่อนตัวลงเป็นอย่างมาก

กล่าวโดยสรุป ผลการสำรวจในครั้งนี้ สิ่งภาคเอกชนต้องติดตาม คือ สถานะการณ์ความขัดแย้งของมหาอำนาจที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและไทย สถานะการณ์ค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง มีผลทำให้การนำเข้าพลังงานมีต้นทุนสูงขึ้นมาก ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยวที่จะได้ประโยชน์จากการที่บาทอ่อน ยังไม่สามารถหวังผลได้เต็มที่ จะกดดันให้เงินเฟ้อค่อยๆสูงขึ้น โดยภาคเอกชนก็ยังมีความกังวลใจกับการปรับราคาขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ

Share:

“Le Khwam Luck Café” เลอ ความ ลัค คาเฟ่ ร้านอาหารอิตาเลียน ซอยเอกมัย 22

 

“Le Khwam Luck Café”  ร้านอาหารสไตล์อิตาเลียนแบบโฮมเมดที่ไม่ได้มีดีแค่อาหารอิตาเลียนใน บรรยากาศสวนสีเขียวกับบ้านทรงจั่วเรียบๆสีขาวแต่อิ่มเอมไปด้วยความสงบร่มรื่นตระหง่านด้วยโคม ไฟยีราฟขนาดใหญ่ซึ่งเป็นจุด Signature ของทางร้าน ตั้งอยู่ใจกลางย่านสุขุมวิท 

ภายในซอยเอกมัย 22  โดยทางเจ้าของร้าน ได้นำประสบการณ์ส่วนตัว ผ่านร้านอาหารที่ได้สัมผัสมาทั้งในประเทศ และต่างประเทศ กว่า 20 ปี มาปรุงแต่งบรรยากาศของร้านและอาหารรวมถึงการบริการให้มีความพิเศษที่สุดพร้อมเสิร์ฟ ความประทับใจให้ทุกคนได้ลิ้มลองรสชาติสุดพิเศษจากเมนูโฮมเมดตามฉบับอิตาเลียน รวมถึงเมนู  เครื่องดื่มและเบเกอรี่ที่รังสรรค์ทุกชิ้นออกมาจากความใส่ใจอย่างพิถีพิถัน 
สำหรับผู้ที่ต้องการดื่มด่ำบรรยากาศชิลๆ จิบเครื่องดื่มลิ้มรสชาติเบเกอรี่แบบโฮมเมดสบายๆทางร้าน Le Khwam Luck Café  มีเช็ดเมนูเครื่องดื่มและของหวาน มากกว่า 20 รายการเมนูเครื่องดื่มแนะนำอย่างเช่น 

  • Seared Black Cod ปลาหิมะเนื้อนุ่มขาวนวล ซึ่งคัดสรรและนำเข้าจากฝรั่งเศส ปรุงด้วยซอสสูตรพิเศษที่เป็น Signature ของทาง Le Khwam Luck Cafe 
  • Le Khwam luck breakfast 
-scramble eggs 
-sauté mushrooms 
-tomato confit 
-bacon 
-Italian sausage 
Toasted sourdough
  • Smoked salmon pizza  ใช้ gravlax salmon เป็นsalmon เเมริเนทสมุนไพร เเล้วไปsmoked เสิร์ฟกับ stracciatella cheese caper และ rocket 
  • เมนูพิซซ่าถือว่าเป็นเมนูที่พิเศษอีกหนึ่งเมนูโดยบริเวณขอบเนื้อแป้งจะเป็นสไตล์ Napoleon ที่มีความหนานุ่มปานกลางแต่ยังคงความบางฉบับอิตาเลียนแท้บนหน้าพิซซ่า รวมถึงเครื่องดื่มที่รายล้อมด้วยเมนูพิเศษที่คิดค้นขึ้นมาในคอนเซปที่ว่า “ทำด้วยความรัก เพื่อให้คนที่เรารัก” 
  • Rigatoni caborne alla vodka sauce Cream,  garlic , onions , vodka , chili powder Parmesan cheese 36m , shrimp  , tomato sauce เป็นพาสต้าเส้นสด เสิร์ฟซอสคาบอเน่อาลาวอดก้ากุ้ง และ รอคเกท สลัด 
  • คั่วกลิ้ง plant base เหมาะ สำหรับลูกค้าที่ไม่ทานเนื้อสัตว์รสชาติจัดจ้าน
Desert – Le Khwam Luck Cafe
  • Fruit tart เป็น ทาร์ต ผลไม้ สด ที่ ตัว ทาร์ต ทำมาจาก almond sable ( เเอลมอน เซเบิล) สอดไส้ strawberry compoted ( สตอเบอรี่คอมโพส ) ทอปด้วย vanilla pastry cream ( วนิลลาเพรสทรี่ครีม และ ผลไม้ สด
  • Pumpkin custard cake (พัมคินคัสตาร์ดเค้ก) เป็น soft cake ฟักทอง ด้านล่าง เเละด้านบนเป็น ขนมหม้อเเกงฟักทอง โรยด้วย หอมแดงเจียว ดัดเเปลงมาจากเค้กญี่ปุ่น ผสมผสานความเป็นไทย
  • Coconut cake Soft cake coconut and  coconut pastry cream ที่หอมมันหวานกำลังดี 
  • Mae Mali   น้ำสตอเบอรี่ หอมมะลิ สดชื่น   
  • Garden of eden  น้ำแอ๊ปเปิ้ลเขียว ผสมน้ำเมล่อน สดชื่น
  • Iced Chocolate ช็อกโกแลตเย็น เข้มข้น
ที่ร้านยังมีเมนูอีกมากมายที่รอท่านอยู่ 
เชิญท่านมาสัมผัสและดื่มด่ำไปกับ รสชาติอาหารสไตล์อิตาเลี่ยน และเครื่องดื่ม มานั่งเล่น ดื่มกาแฟ ทานอาหารเช้า อาหารกลางวัน และอาหารเย็น พร้อมกลุ่มเพื่อน หรือครอบครัวได้ที่ เลอความลัค คาเฟ่ ซอยเอกมัย 22   ได้แล้ววันนี้ 

โปรโมชั่น พิเศษ!!  ในช่วงนี้ ขอนำเสนอ ส่วนลด 10% เพียงคุณ Tag IG Le Khwam Luck Café  ระหว่างวันที่ 23 พฤษาคม ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565 

ช่วงนี้มีโปรโมชั่น ส่วนลด 10% ของบัตรเครดิต KTC เเลกรับเครติดเงินคืนได้10% ลงทะเบียนออนไลน์ ได้ที่เว็บไซต์ของธนาคาร

หรือว่าสามารถมาทานเเล้วถ่ายรูปเเท็กไอจี หรือว่า เฟสบุ๊คร้าน รับส่วนลด10% สำหรับรายการอาหาร

บัตรเครดิตโปรโมชั่นใช้ได้ถึง 31พค. 66 
𝐿𝑒 𝐾ℎ𝑤𝑎𝑚 𝑙𝑢𝑐𝑘 𝐶𝑎𝑓𝑒 & Restuarant
Serving You The Best Of Luck
ADRESS:  98/5 ซอยเอกมัย 22 นวลน้อย สุขุมวิท 63 แขวง คลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110 
Date : 𝗢𝗽𝗲𝗻 𝗘𝘃𝗲𝗿𝘆𝗱𝗮𝘆
Time : 𝟶𝟾.𝟶𝟶 𝙰𝙼 - 𝟸𝟸.𝟶𝟶 𝙿𝙼
LINE ID: @lekhwamluckcafe 
FACEBOOK: Le Khwam Luck Café  
TEL: 02-1026-555 , 065-9598-864

Map : https://goo.gl/maps/DDHGhpdH6Nnt1ekS7 
🚘มีที่จอดรถสำหรับลูกค้า

Tag me: #LeKhwamLuck  #LeKhwamLuckCafe  #LekKhwamLuckCafeandRestuarant                    #cafebkk #cafehopper #cafeekkamai22  #ekkamai #bangkok 
Share:

เรดิสัน โฮเทล กรุ๊ป กางแผนสยายปีกสร้างความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนในไทย เปิดโรงแรมใหม่ 100 แห่งในปี 68


เรดิสัน โฮเทล กรุ๊ป
เดินหน้าเต็มที่รับแผนฟื้นฟูตลาดท่องเที่ยวและโรงแรมในประเทศไทย พร้อมแผนการขยายตัวของธุรกิจแบบทวีคูณ ตั้งเป้าเปิดโรงแรมและรีสอร์ทครบ 100 แห่งในไทย ในปี 2568 โดยแผนการเติบโตทางธุรกิจสำหรับประเทศไทยนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การขยายธุรกิจในวงกว้างที่เรดิสัน โฮเทล กรุ๊ป วางเป้าหมายไว้ว่าจะขยายการเติบโตของธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทในเครือที่ปัจจุบันมีอยู่ 400 แห่ง ให้เพิ่มขึ้นอีกกว่า 2,000 แห่งภายในปี 2568 ในปัจจุบันโรงแรมในเครือเรดิสัน โฮเทล กรุ๊ป ในประเทศไทยมีจำนวน 6 แห่ง โดยมีโรงแรมที่เปิดให้บริการอยู่ 4 แห่งในกรุงเทพฯ และอยู่ระหว่างดำเนินการอีก 2 แห่ง ที่ภูเก็ตและพัทยา

การที่เรดิสัน โฮเทล กรุ๊ป วางแผนกลยุทธ์ที่มีความท้าทายเช่นนี้เป็นกลไกลขับเคลื่อนรูปแบบทางธุรกิจที่ปรับเปลี่ยนให้ตรงกับความต้องการของนักลงทุนและเจ้าของโรงแรมแต่ละคนโดยเฉพาะ เป็นการตอบสนองเชิงกลยุทธ์ที่มาจากแรงผลักดันทั้งภายในและภายนอกรวมกัน ทั้งการเติบโตแบบออร์แกนิก (Organic Growth) ที่เกิดขึ้นด้วยศักยภาพขององค์กรเอง การควบรวมกิจการ รวมถึงการทำสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธ์ในการบริหาร (master license agreements) โดยทุกแบรนด์ที่อยู่ภายใต้การบริหารของกลุ่มบริษัทในเครือเรดิสันนั้น มีโครงสร้างการออกแบบของแบรนด์และกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น เรดิสัน คอลเลคชั่น (Radisson Collection) เรดิสัน บลู (Radisson Blu) และ เรดิสัน (Radisson) ขณะเดียวกันก็มุ่งเจาะกลุ่มธุรกิจที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรีสอร์ทและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ โดยเน้นเลือกทำเลที่ตั้งที่เป็นแหล่งธุรกิจและสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต พัทยา เชียงใหม่ และเกาะสมุย รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่ที่กำลังมาแรงของไทยในขณะนี้

กลุ่มโรงแรมเรดิสันเล็งเห็นถึงโอกาสการเติบโตของประเทศไทยที่มีแรงขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง และเห็นศักยภาพมหาศาลในการเติบโตของแบรนด์ต่างๆ ในเครือ ดังนั้น สำหรับการเจาะตลาดในประเทศไทย จึงมุ่งเน้นที่แบรนด์ เรดิสัน อินดิวิดวลส์ (Radisson Individuals)โดยเฉพาะ ที่เป็นแบรนด์น้องใหม่ล่าสุดที่กำลังกระแสแรงฉุดไม่อยู่ทั่วโลก และคาดว่าจะสามารถดึงดูดและได้รับความนิยมจากเจ้าของและนักพัฒนาธุรกิจโรงแรมในไทยที่ต้องการทำธุรกิจกับกลุ่มโรงแรมคุณภาพ ที่มาพร้อมสัญญาที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และมูลค่าการลงทุนที่ลดลง ขณะเดียวกันยังคงรักษาความเป็นเอกลักษณ์ ลักษณะและบุคลิกภาพของโรงแรมไว้ ส่วนอีกแบรนด์ที่กำลังผลักดันให้มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วในไทยตอนนี้คือแบรนด์ระดับ upper midscale อย่าง Park Inn by Radisson ซึ่งเป็นแบรนด์ระดับกลางค่อนไปทางระดับบนที่นำเสนอบริการแบบปัจจัยพื้นฐานที่ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันโดยคำนึงถึงความอบอุ่นและสะดวกสบายของผู้เข้าพักเป็นหลัก ด้วยการให้บริการที่เป็นมิตร มีความพิเศษและให้ความรู้สึกที่ดียิ่งขึ้น และอีกหนึ่งแบรนด์ที่เน้นคือ Radisson RED เป็นแบรนด์ระดับ upscale ที่ผสมผสานระหว่างรูปลักษณ์โรงแรมในแบบเดิมมาปรับให้เข้าพื้นที่ใช้สอยอย่างลงตัวให้มีความสนุกสนานด้วยสไตล์การออกแบบที่โดดเด่น ซึ่งทำให้แขกของเราสามารถสัมผัสได้ถึงแรงบันดาลใจ มีความรู้สึกเชื่อมโยงและเข้าใจถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างลึกซึ้ง

นอกจากนี้ เรดิสัน โฮเทล กรุ๊ป ยังมีการเซ็นสัญญาร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระดับภูมิภาคกับผู้ถือหุ้นของกลุ่มบริษัทจินเจียง อินเตอร์เนชั่นแนล (Jin Jiang International) และบริษัทในเครือเพื่อเร่งการขยายตัว ซึ่งบรรดาเจ้าของธุรกิจและนักพัฒนาจะสามารถเข้าถึงกลุ่มแบรนด์หลากหลายที่มีตัวเลือกเพิ่มขึ้นในตลาดทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในประเทศไทย กลุ่มโรงแรมเรดิสันได้รับสิทธิ์ในการบริหารและพัฒนาธุรกิจกับแบรนด์ 7 Days และ Metropolo โดยได้มีการทำสัญญาอนุญาตและสิทธิหลักในการเป็นผู้ดำเนินงานบริหารจัดการธุรกิจของกลุ่มบริษัทในเครือจินเจียง เพื่อเจาะกลุ่มตลาดระดับบนและระดับกลาง ซึ่งปัจจุบันมีแบรนด์ที่ เรดิสัน โฮเทล กลุ่ม ได้รับสิทธิเข้าพัฒนาธุรกิจแล้ว ได้แก่ โกลเด้น ทิวลิป (Golden Tulip) คีเรียด (Kyriad) และ คัมพานิล (Campanile) จาก ลูฟวร์ โฮเทล กรุ๊ป (Louvre Hotels Group)

โดยตลอดปี 2564 ที่เรดิสัน โฮเทล กรุ๊ป ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มผู้ถือหุ้นของ จินเจียง และ Sino-Ceef ทำให้สามารถดำเนินการตามแผนการปฏิรูปในระยะ 5 ปีอย่างต่อเนื่อง วิธีการนี้ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีซึ่งถือว่าเป็นการนำระบบที่ดีที่สุดมาใช้ในการดำเนินการที่ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับกลุ่มโรงแรมในเครือ ตลอดจนทำให้มีการลงทุนอย่างเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระบบปฏิบัติการ ซึ่งส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนนงานมากที่สุดในอุตสาหกรรมนี้

ด้วยความมุ่งมั่นของเรดิสันในการเดินหน้าขยายธุรกิจโรงแรมเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการของประเทศไทยในอนาคตอย่างเต็มที่ จึงมีแผนเปิดสำนักงานเรดิสัน โฮเทล กรุ๊ป ประจำประเทศไทยขึ้นที่กรุงเทพฯ โดยมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้บริการด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจให้กับพันธมิตรทางธุรกิจชาวไทย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีอันยาวนานระหว่างกันและกัน

“ดิฉันคิดว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางซึ่งเป็นที่ปรารถนาและส่งมอบประสบการณ์อันล้ำค่าสำหรับนักเดินทางทุกประเภท การประกาศยกเลิกมาตรการเข้าราชอาณาจักรจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่งในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศ และเรดิสัน โฮเทล กรุ๊ป คาดหวังที่จะเห็นภาพของการเดินทางเข้ามีการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เรา เตรียมพร้อมและมุ่งมั่นอย่างเต็มที่สำหรับอนาคตของธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรมในประเทศไทย และเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ทำงานร่วมงานกับพันธมิตรของเราเพื่อสร้างอนาคตที่สดใสให้กับในประเทศที่มีเสน่ห์แห่งนี้” มิส. แคทรีน่า จีอานูกา ประธาน เรดิสัน โฮเทล กรุ๊ป เอเชียแปซิฟิก กล่าว

มร. เดวิด เหงียน กรรมการผู้จัดการ ด้านยุทธศาสตร์ความร่วมมือในภูมิภาคอินโดจีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก กล่าวเสริมว่า “เนื่องจากประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดหลักที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วของโรงแรมในเครือเรดิสัน โฮเทล กรุ๊ป ทีมงานของเรารวมถึงตัวผมตั้งตารอที่จะได้ร่วมงานกับพันธมิตรในประเทศเพื่อขยายพอร์ตการลงทุนของกลุ่มบริษัทของเรา เพื่อเตรียมพร้อมรับการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวขาเข้า”

การที่ประเทศไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศอย่างเต็มรูปแบบ โดยไม่ต้องกักตัวหรือแสดงผลตรวจหาเชื้อโควิด-19 สำหรับนักท่องเที่ยวที่ได้รับวัคซีนครบโดสในขณะนี้ จึงเป็นก้าวที่สำคัญในการฟื้นฟู “สยามเมืองยิ้ม” แห่งนี้ให้เพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองให้กลับมาเยือนจุดหมายปลายทางที่พวกเขาโปรดปรานได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งรัฐบาลไทยคาดการณ์ว่าจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศได้มากกว่า 7 ล้านคนในปี 2565


ในระยะยาวนั้น การกลับมาของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาเยือนประเทศไทย จะมีบทบาทสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของกลุ่มโรงแรมเรดิสันและประเทศไทยโดยรวม ก่อนโรคระบาดจะเกิดขึ้น นักท่องเที่ยวชาวจีนมีสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 4 ของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาทั้งหมดของประเทศ เมื่อการท่องเที่ยวขาออกจากประเทศจีนกลับมาดำเนินการอีกครั้ง ประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ที่ได้รับผลประโยชน์ ดังนั้น การเป็นพันธมิตรระหว่าง เรดิสัน โฮเทล กรุ๊ป กับ จินเจียง อินเตอร์เนชั่นแนล จะสามารถสร้างอรรถประโยชน์จากตลาดที่สำคัญนี้จำนวนมหาศาลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นอกจากนี้ ยังมีช่องทางการทำจองเป็นภาษาจีนและ การชำระเงินดิจิทัลเพื่อเข้าถึงสมาชิกทั้งหมดของลอยัลตี้โปรแกรมที่มีมากกว่า 182 ล้านคน



นอกจากนี้ เรดิสัน โฮเทล กรุ๊ป ยังจะช่วยส่งเสริมสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้มีอนาคตที่ยั่งยืน บริษัทได้ให้คำมั่นสัญญาอย่างแน่วแน่กับแนวคิดในการจัดการเพื่อทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมหรือผลิตภัณฑ์โดยกระบวนการกำจัดคาร์บอน (carbon net zero) ภายในปี 2050 รวมถึงการจัดงานประชุมของโรงแรมในเครือเรดิสันทั้งหมดนั้นปลอดคาร์บอน 100% โดยร่วมมือกับผู้นำในภาคอุตสาหกรรมหลายองค์กร เช่น สมาคมโรงแรมภูเก็ต เป็นต้น นอกจากนี้ เรดิสัน โฮเทล กรุ๊ป ยังเป็นพันธมิตรของ Hotel Sustainability Basics ซึ่งเป็นองค์กรภาคอุตสาหกรรมรูปแบบใหม่ในการขับเคลื่อนการเดินทางอย่างยั่งยืน

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลุ่มโรงแรมเรดิสัน ได้ที่เว็บไซต์ www.radissonhotels.com


Share:

“ไนกี้”- “ปอนด์” เผยชีวิตรักข้ามรุ่น LGBT คลายเรื่องปมครอบครัวในซีรีส์ "เส้นลองจิจูดที่ 180 องศา ลากผ่านเรา"

"ไนกี้ นิธิดล" ปะทะอารมณ์ "ปอนด์ พลวิชญ์" ในซีรีส์ "เส้นลองจิจูดที่ 180 องศา ลากผ่านเรา" ซีรีส์แนวมัลติเลเยอร์ดรามา (Multilayer Drama) ของ “บริษัท Miti Art Media จำกัด” ผู้ผลิตรายการ ซีรีส์ ละคร ภาพยนตร์น้องใหม่ สะท้อนชีวิตรักข้ามรุ่น LGBT เล่าสัมพันธ์ลึกซึ้ง ผูกปม ครอบครัว

สำหรับบรรยากาศกองถ่าย ซีรีส์ "เส้นลองจิจูดที่ 180 องศา ลากผ่านเรา" สะท้อนชีวิตรักข้ามรุ่น LGBT ณ บริษัท บ้านริก จำกัด การถ่ายทำเป็นไปอย่างราบรื่น โดยมีนักแสดงนำของเรื่อง อย่าง "ไนกี้ นิธิดล" และ "ปอนด์ พลวิชญ์" เข้าฉากกัน โดยเป็นซีนที่อาอินทวุธ (ไนกี้) กำลังเล่าเรื่องในอดีต กับความสัมพันธ์ของตัวเองกับพ่อ ของแวง (ปอนด์) ที่ลึกซึ้ง เกินกว่าความเป็นพี่น้องฟัง และเป็นซีนที่แวงได้รู้ว่าจริงว่าสองคนนี้เคยรักกันแบบไหน 

โดยทั้ง 2 นักแสดง และผู้กำกับ เผยว่า "เป็นละครที่บทสนทนาเยอะ บทยาว พูดคนเดียว เป็นประสบการณ์ใหม่มาก บทละครดี ยอมรับว่ายากมากกับการท่องจำบท ทุกคนพูดมีความหมาย มีน้ำหนัก และก่อนถ่ายทำเราซ้อมกันหนักมาก เหมือนถ่ายทำละครเวที และหนุ่ม "ไนกี้" เผยว่า “ถือเป็นซีรีส์แนว LGBT เรื่องแรก ก็ตั้งใจมาก ทุกอย่างต้องรื้อฟื้น ทำการบ้าน ตัวละครแบบนี้คิดยังไง มีความรู้สึกแบบไหน เพราะปกติ เล่นกับผู้หญิง รับว่าบทนี้ยาก เราต้องขยันมากจริงๆ ถือว่าสนุกมาก สำหรับประสบการณ์ใหม่”

สำหรับซีรีส์ "เส้นลองจิจูดที่ 180 องศา ลากผ่านเรา" ได้ปิดกล้องการถ่ายทำไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเตรียมจ่อคิวออนแอร์ให้ผู้ชมได้ชมกันทางช่อง one31เร็วๆนี้อย่างแน่นอน

Share:

เครื่องล้างพื้นทำความสะอาดพื้น มาแรงแห่งปี 2565! JIMMY Sirius HW10

 

เครื่องทำความสะอาด 3in1 แบบไร้สาย ง่ายครบจบ ทุกไลฟ์สไตล์

ปรับสั้นยาวได้ ไม่ต้องก้มๆเงยๆ

ดูด ถู ล้างพื้น พร้อมทำความสะอาดตัวเองได้ จบในเครื่องเดียว

มาพร้อมกับราคา : 17,999 บาท

สั่งซื้อได้ที่ Shopee :https://bit.ly/3zvH0Sm | Lazada :https://bit.ly/3H44Eas

กรุงเทพฯ - มิถุนายน 2565 – ในยุคปัจจุบันที่คนวัยทำงานมักแสวงหาความสมดุลของชีวิต การทำให้ชีวิตและทำงานสมดุลกันจะต้องใช้เวลาและพลังงานอย่างมาก เมื่อคุณกลับถึงบ้านหลังจากการทำงานที่ยุ่งวุ่นวายในแต่ละวัน คุณจึงต้องการ การผ่อนคลายและทำกิจกรรมสนุกๆที่ทำให้มีความสุขและสนุกสนาน แต่ในขณะเดียวกันชีวิตประจำวันของคุณ ก็จะต้องใช้เวลาและความพยายามในการดูแลบ้านให้สะอาดน่าอยู่เสมอ เช่น การดูแลทำความสะอาดพื้นบ้านที่เบื้อนฝุ่น, คราบสกปรกจากเครื่องปรุงรสหรือน้ำซุปร้อนๆที่หกลงพื้นในขณะปรุงอาหาร และคราบสกปรกจากอุบัติเหตุเด็กวิ่งชนแก้วโยเกิร์ต ซีเรียล น้ำผลไม้ กาแฟโดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นต้น 

สำหรับผู้ที่ฝันถึงบ้านที่ สะอาด น่าอยู่ แต่ต้องการประหยัดเวลาและพลังงาน การแก้ปัญหาคือใช้เครื่องล้างพื้นและดูดฝุ่นแบบไร้สาย Jimmy Sirius HW10 ตัวช่วยที่ทรงพลังและทำหน้าที่ได้หลากหลาย ทั้งดูดฝุ่น ขัดถูพื้น แบบ 3-in-1 พร้อมทำความสะอาดตัวเองด้วยปุ่มเดียว 

Jimmy Sirius HW10 เครื่องดูดฝุ่นและล้างพื้นแบบไร้สายที่ใช้มอเตอร์ดิจิทัล มีศักยภาพพร้อมพลังดูดสูงสุด 400W ซึ่งรวมฟังก์ชั่นการดูดฝุ่น การขัดถูและการดูดซับเข้าด้วยกัน สามารถทำความสะอาดคราบสิ่งสกปรกที่เปียกและแห้ง รวมไปถึงการจัดการกับคราบสกปรกที่ฝังแน่นและเหนียวบนพื้นต่างๆได้ ซึ่ง Jimmy Sirius HW10 สามารถประกอบเป็นเครื่องดูดฝุ่นแบบใช้มือถือ เพื่อการใช้งานสำหรับดูดฝุ่นบนโต๊ะหรือตามซอกต่างๆ และดูดไรฝุ่นตามโซฟา เตียง ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ส่วนตัวหลักของเครื่องสามารถขัดล้างพื้นโดยที่ไม่ต้องคอยก้มได้เช่นกัน ถือว่าคุ้มมาก ตอบโจทย์หลากหลายฟังก์ชั่นสำหรับทุกการใช้งาน อีกทั้งยังมีฟังก์ชั่นใหม่เพื่อทำความสะอาดตามขอบและมุม ด้วยการออกแบบหัวแปรงแบบเอกสิทธิ์เฉพาะของ JIMMY จะทำให้การทำความสะอาดตามมุม ตามขอบที่เข้าถึงยาก ได้ง่ายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

นอกจากนี้ Jimmy Sirius HW10 ยังมีหัวต่อที่ใช้สำหรับการดูดฝุ่นพรมแบบพิเศษ สามารถทำความสะอาดแม้กระทั่งฝุ่นและขยะที่อยู่ลึกในพรมได้อย่างง่ายๆ ซึ่งคุณจะประหลาดใจเมื่อพบว่าเวลาทำความสะอาดลดลงครึ่งหนึ่ง

 Jimmy Sirius HW10 ยังโดดเด่นด้วยจอ OLCD ขั้นสูงและระบบแจ้งงานด้วยเสียงในตัว ซึ่งจะให้ข้อมูลสำคัญทั้งหมดแก่คุณแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชั่นทำความสะอาดแปรงให้แห้งโดยอัตโนมัติ โดยคุณไม่ต้องกังวลว่ามือคุณจะเปื้อนและมีกลิ่นแปรง ด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีของ Jimmy Sirius HW10 เครื่องดูดฝุ่นและถูพื้นแบบไร้สายทำความสะอาดได้ 3-in-1 จะช่วยประหยัดเวลา พลังงาน และอำนวยความสะดวกให้กับคุณ เพื่อให้ทำงานบ้านได้อย่างไร้กังวล

สำหรับอุปกรณ์ในกล่องของ Jimmy Sirius HW10 บอกเลยว่ามาแบบครบครัน !!

สำหรับรุ่นนี้ มีหัวที่เอาไว้ใช้ทำความสะอาดได้ถึง 5 หัว เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งานในรูปแบบต่างๆ มาพร้อมแท่นชาร์จ อะแดปเตอร์ น้ำยาถูพื้น และแปรงสำหรับทำความสะอาดหัวแปรงต่างๆ 

เกี่ยวกับ JIMMY

 JIMMY แบรนด์ภายใต้ KingClean Electric Co.,Ltd ที่ทุ่มเทในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงสำหรับชีวิตที่ดี เพื่อผู้ใช้ทั่วโลก KingClean Electric Co., Ltd มุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมการทำความสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาเป็นเวลา 28 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งในปีพ.ศ. 2537 และเป็นหนึ่งในบริษัทพัฒนาและผลิตเครื่องดูดฝุ่นที่ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นเวลา 18 ปีตั้งแต่ปีพ.ศ. 2547 บริษัทมีวิศวกรที่ดูแลด้านการวิจัยและพัฒนามากกว่า 700 คน และได้จดสิทธิบัตรใหม่ๆประมาณ 200 รายการในแต่ละปี และเป็นเจ้าของสิทธิบัตรมากกว่า 1,700 รายการ ผสานรวมเทคโนโลยีชั้นนำที่ทันสมัย และการออกแบบที่ยอดเยี่ยม พร้อมด้วยฟังก์ชันที่สร้างสรรค์ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีและสะดวกสบายให้กับลูกค้า 

Share:

ททท. ชวนมาเลาะ “อีสานเขียวเที่ยวหน้าฝน”กับ“หลงรักแผ่นดินถิ่นอีสาน : ISAN in LOVE” พร้อมเปิดประตูสู่ประเทศเพื่อนบ้าน&กระตุ้นเที่ยวอีสานหลังสถานการณ์​COVID


การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดย ภูมิภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสาน จัด กิจกรรมส่งเสริมการตลาดและการท่องเที่ยวช่วงฤดูฝน เพื่อมุ่งให้เกิดกระแสการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงเวลาที่เที่ยว ภาคอีสาน มีความสวยงามและเขียวขจีมากที่สุด สามมารถสัมผัสสายฝนและไอหมอก ใน 20 จังหวัดภาคอีสาน เพื่อต่อยอด แคมเปญ “อีสานเขียวเที่ยวหน้าฝน” ผนวกกับเที่ยวจังหวัดในภาคอีสานเปิดประเทศสู่ประเทศเพื่อนบ้านหลังสถานการณ์COVIDนี้

นายสมชาย ชมภูน้อย ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “หน้าฝนปีนี้ เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน-ตุลาคม พ.ศ.2565 นับว่าเป็นมิติหมายที่ดีในภาคอีสานหลังสถานการณ์COVID ได้เปิดด่านเปิดประตูสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้สามารถสร้างมูลค่า&จุดขายเพิ่ม ให้กับการท่องเที่ยวภาคอีสานเชื่อมโยงสู่ประเทศลาว-จีน-กัมพูชา-เวียดนามได้ 

และโอกาสนี้ ททท.ภาคอีสานยังนำเสนอมุมมองใหม่เที่ยวอีสาน 3 ธรรม อันได้แก่ วัฒนธรรม-ธรรมชาติ-ธรรมะ สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวภาคอีสานในฤดูฝน & อีสาน พร้อมเสริฟ์เมนูประสบการณ์ท่องเที่ยวในมุมมองใหม่ๆให้นักท่องเที่ยวมาค้นหาประสบการณ์ความสุขในหน้าฝนนับเป็นฤดูท่องเที่ยวอีสานที่ดีที่สุด กับมุมมองความอุดมสมบูรณ์และความเขียวขจีกับความสวยงามของภูมิทัศน์ในสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในอีกมิติหนึ่ง นอกจากนี้ในช่วงหน้าฝนอากาศกำลังเย็นสบายไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป เมื่อยามฝนพรำสู่ดินแดนอีสานที่ราบสูงจะได้เห็นทะเลหมอกสุดลูกหูลูกตา

แต่หากฝนตกยามเย็นเมื่อใด ความชื้นจะก่อตัวให้เห็นทะเลหมอกหน้าฝนในยามเช้า แม้อีสานไม่มีทะเลน้ำเค็ม แต่ก็มีทะเลหมอกขาวเสริมแต่งด้วยสายรุ้งกินน้ำอากาศเย็นสบายให้ได้สัมผัสก่อนใคร ยกตัวอย่างเช่น ทะเลหมอก20ภู(เขา)จ.เลย ทะเลหมอกภูห้วยอีสัน จ. หนองคาย หรือ ทะเลหมอกหินสามวาฬ จ.บึงกาฬ หรือ ทะเลหมอกสามประเทศผามออีแดง จ.ศรีสะเกษ รวมถึงความสวยงามของน้ำตกในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกเจ็ดสี น้ำตกถ้ำพระ จ.บึงกาฬ น้ำตกห้วยหลวง น้ำตกแสงจันทร์หรือน้ำตกลงรู จ.อุบลราชธานี และน้ำตกตาดโดน จ.ชัยภูมิ 

อีกทั้งยังเป็นช่วงที่มีทุ่งดอกกระเจียว จังหวัดชัยภูมิ เริ่มบานยาวนานเป็นเวลา 3-4 เดือน อีกด้วย นับได้ว่า เป็นแหล่งท่องเที่ยวแนะนำที่มาเที่ยวอีสานแล้วต้องห้ามพลาด นอกจากช่วงฤดูฝนจะเป็นช่วงที่สวยงามที่สุดแล้ว ยังเป็นช่วงที่มีความอุดมสมบูรณ์ของวัตถุดิบเมนูอาหารท้องถิ่น ชวนติดตามและ ท่องเที่ยวไป-ทำงานไป(Workation Thailand) ชิมช้อปปิ้งไป-ท่องเที่ยวอีสานผนวกกับเที่ยวอีสาน 3 ธรรม (วัฒนธรรม ธรรมชาติ และธรรมะ) 

ทั้งนี้ การเดินทางไปสัมผัสกับแหล่งท่องเที่ยวฤดูฝนหรือหน้าฝนมุมมองใหม่ตามใจคุณใน 20 จังหวัดภาคอีสานดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ และร่ำรวยด้วยวัฒนธรรมมิตรภาพ อารยธรรม ชุมชนท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนอยู่มากมาย ยกตัวอย่างเช่น สวนทุเรียนภูเขาไฟศรีสะเกษ ชุมชนบ้านบุ่งสิบสี่ อ.เกษตรสมบูรณ์ สวนส้มโอของชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่มีให้รับประทานตลอดทั้งปี ชุมชนแซตอม ออร์แกนิคฟาร์ม : เรียนรู้แหล่งข้าวอินทรีย์ ซึ่งสามารถเข้ามาเรียนรู้เรื่องสายพันธุ์ข้าวและเลือกซื้อกลับบ้านได้ นอกจากนี้ยังมีชุมชน ท่องเท่ียวอื่น ๆ อีกมากมายรอต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกท่าน…แล้วจะทำให้คุณรู้สึก “หลงรักแผ่นดินถิ่นอีสาน : ISAN in LOVE” แน่นอน



#เที่ยวภาคอีสาน : สะดวก สบาย ปลอดภัย ได้มาตรฐาน

“การท่องเที่ยวภาคอีสานไม่มีอุปสรรคต่อการเดินทางท่องเที่ยวในหน้าฝน เนื่องจากถนนที่เป็นเส้นทางสู่แหล่งท่องเที่ยวในภาคอีสานจัดอยู่ในมาตรฐานที่ดีมากๆ และ สายฝน จะเป็นเสมือนน้ำมนต์ทำให้ดินแดนแห่งนี้เย็นสบาย ภูมิทัศน์ แหล่งท่องเที่ยว เขียวขจีสดชื่นแจ่มใสไปทั่วทั้งแผ่นดิน...เหมาะแก่การท่องเที่ยวในภาคอีสานยิ่งนัก ททท. ขอชวนทุกท่านออกไปเท่ียวค้นหาความสุขในหน้าฝน กับ แคมเปญ “อีสานเขียว...เที่ยวหน้าฝน” ครับ ผอ. สมชาย กล่าวทิ้งท้าย 


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ TAT Contact Center 1672 หรือ เพจ.เที่ยวอีสาน.com หรือ @go2isan
Share:

กรมการพัฒนาชุมชนติดปีก OTOP​​ ดันอาหารเครื่องดื่มฟื้นตลาด

กรมการพัฒนาชุมชน ติดปีกสินค้า OTOP อาหารและเครื่องดื่ม ชูกลไกกระตุ้นเศรษฐกิจฟื้นตัว รับปัจจัยบวกสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ไทยเปิดประเทศอย่างเป็นทางการ 

นายสุรศักดิ์ อักษรกุล รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กรมการพัฒนาชุมชนได้รับมอบหมายจากรัฐบาลในการส่งเสริมและพัฒนาผู้ผลิตและผู้ประกอบการ OTOP ให้มีรายได้จากการนำภูมิปัญญามาพัฒนาเป็นสินค้าที่มีคุณภาพมาตรฐาน เป้าหมายเพื่อผลักดันให้ผู้ประกอบการมีรายได้ และเติบโตอย่างยั่งยืน เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่มุ่งเน้นการพัฒนาภาคผลิตและบริการให้สามารถแข่งขันได้ ทั้งในและต่างประเทศ 

อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ผลิตและผู้ประกอบการ กรมการพัฒนาชุนชน จึงจัดกิจกรรมทดสอบตลาด “ปั้น D ให้มีดาว” ระหว่างวันที่ 24 - 26 มิถุนายนนี้ เพื่อพัฒนายกระดับผลิตภัณฑ์ OTOP กลุ่มปรับตัวสู่การพัฒนา (Quadrant D) โดยนำร่องส่วนของผู้ประกอบการกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ที่ปัจจุบันมีการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง แม้ช่วงที่มีการเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่ทุกคนต้องบริโภค โดยพบว่ามูลค่าทางการตลาดในประเทศปี 2565 สูงกว่า 2.5 ล้านล้านบาท หรือขยายตัวมากกว่า 2.5% 

อีกทั้งพบว่าผู้ประกอบการส่วนนี้ มีการส่งเสริมลงทะเบียนผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ปัจจุบันมีจำนวน 94,940 ราย และมีผลิตภัณฑ์ OTOP จำนวน 212,387 ผลิตภัณฑ์ ซึ่งในจำนวนนี้แยกเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มปรับตัวสู่การพัฒนา (Quadrant D) จำนวน 167,543 ผลิตภัณฑ์ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2564) แต่ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ยังมีข้อจำกัด ในเรื่องของคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์ รูปแบบผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ ยังไม่สวยงามโดดเด่นไม่ตรงกับความต้องการของตลาด ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ยังขาดองค์ความรู้ในด้านการบริหารจัดการการพัฒนาผลิตภัณฑ์ 

“เป้าหมายของเรา คือการส่งเสริมสินค้า OTOP ของไทยเพื่อให้พี่น้องมีรายได้จากสินค้าภูมิปัญญา โดยเฉพาะสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม ครั้งนี้ได้นำมาทดสอบการตลาด โดยหวังเป็นอย่างยิ่งกว่าพี่น้อง ผู้บริโภคจะได้พบกับผลิตภัณฑ์ที่ได้ผ่านการพัฒนาทั้งด้านบรรจุภัณฑ์ คุณภาพและมาตรฐาน อีกทั้งจะเป็นเวทีให้ผู้ประกอบการได้พบว่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้ ตลอดจนความต้องการของผู้บริโภค รวมทั้งส่งเสริมไปสู่การยกระดับตลาดออนไลน์”


สำหรับการยกระดับ Quadrant D ที่จัดขึ้นนี้ กรมการพัฒนาชุมชนจัดงานกิจกรรมทดสอบตลาด “ปั้น D ให้มีดาว” ระหว่างวันที่ 24 - 26 มิถุนายนนี้ ณ ลานโปรโมชั่น ชั้นใต้ดิน ศูนย์การค้าเซียร์รังสิต จังหวัดปทุมธานี ขนทัพกลุ่มผลิตภัณฑ์ Quadrant D หลากหลายดีเด่นจากทั่วทุกภาค ร่วมออกบูธภายในงาน กว่า 50 ร้านค้า โดยเฉพาะอาหารพื้นถิ่น เลิศรสที่หาทานได้ยาก รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มหลากหลายประเภทที่เป็นผลิตภัณฑ์ดาวเด่นกว่า 99 ผลิตภัณฑ์ 

นายสุรศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ถือเป็นจุดแข็งทางการค้าของไทย มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องแม้ช่วงที่มีการเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ถือเป็นโอกาสที่คนไทยจะได้ร่วมสนับสนุนการพัฒนาสินค้าให้มีโอกาสเปิดตลาดเพิ่มเติมในช่วงโควิดคลี่คลาย และต้อนรับการเปิดประเทศอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการกระตุ้นการค้าและเศรษฐกิจในประเทศ


Share:

Recent Posts

ค้นหาบล็อกนี้

Contact Us ::

📲 (+66) 081 4345154
✉️ Insightoutstory@gmail.com

Add Line📲 Click 👇👇

Translate

🚉 ช.ส.ท.พาเที่ยว นครฯ

Review By Nichapa

POPULAR NEWS

Fanpage Facebook

ป้ายกำกับ

คลังบทความของบล็อก