อัญมณีเสริมบารมีรับปีเสือทอง

 

เลือกอัญมณีเสริมดวงรับปีเสือทอง เชอร์ลี่ย์-หทัยชนก สุวรรณทรรภ เจ้าของแบรนด์ Shirley Gems ดีไซเนอร์ชื่อดังที่สืบเสาะและศึกษาข้อมูลเฉพาะตัวของอัญมณีมาเกือบ 20 ปี ซึ่งคุณค่าของอัญมณีแต่ละชนิดที่เธอเลือกมาร้อยเรียงขึ้นเรือนเป็นเครื่องประดับนั้น คุณแทบไม่เชื่อเลยว่า นอกจากจะมีประกายงดงามแล้ว ยังมีพลังในการเสริมสิริมงคล เมตตามหานิยม ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างน่าอัศจรรย์ 

“ส่วนใหญ่การเลือกใช้เครื่องประดับจะเปลี่ยนไปตามช่วงวัย เช่น เริ่มต้นทำงานคนส่วนใหญ่ก็ให้ความสำคัญกับความรัก จะใส่อัญมณีพวกโรส ควอตช์ (Rose Quartz) ทับทิมจะเสริมในเรื่องเสน่ห์และความรัก 

พอทำงานได้สักพักก็เน้นที่หน้าที่การงาน การค้าขาย และความร่ำรวยมากกว่า ก็จะใช้อัญมณีประเภทไหมทอง (Golden Rutilated Quartz) ถึงตอนที่แต่งงานแล้ว ชีวิตเริ่มลงตัวก็จะแนะนำใส่อัญมณีประเภท Moonstone พวกมุก หยก พลอยประจำวันเกิด อย่างช่วงโควิด-19 เชอร์ลี่ย์ก็นำหัวนะโมที่ได้มาจากจังหวัดนครศรีธรรมราชมาดีไซน์กับหยกและหินนิล รวมถึงเหล็กไหลแนะนำให้ใส่ติดตัว เพื่อปกป้องคุ้มครองโรคภัยไข้เจ็บ สอดคล้องกับความเชื่อของคนโบราณที่จะฝังหัวนะโมไว้ใต้ดินเพื่อป้องกันโรคระบาด

เช่นกันกับปีนี้ที่แม้เราจะได้เฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ แต่ถึงอย่างไรก็ยังอยู่ในบรรยากาศของโควิด-19 ที่มีแนวโน้มว่าจะส่งผลกระทบต่อจิตใจ ดังนั้น เครื่องประดับอัญมณีจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะมอบเป็นของขวัญให้กับตัวเอง เพื่อน และคนรัก ซึ่งจะเป็นกลุ่มของ....

‘หยกเขียว’ มีพลังเป็นที่ยอมรับกันในระดับสากลว่า ‘กินบ่เซี่ยง’ มีกินมีใช้ไม่มีวันหมด อนาคตมีแต่คำว่าดีขึ้นๆๆ ร่ำรวยขึ้น เฮงยิ่งๆ ขึ้นไป และรับเคราะห์แทนเจ้าของ 

ยิ่งหากตรงกับปีชงด้วยแล้ว ควรเลือก ‘หินไทเกอร์อาย’ (Tiger eye) 3 สี ที่มีพลังในการปกป้องคุ้มครองภยันอันตราย 

โดยเฉพาะในช่วงที่เรายังต้องใส่แมสก์กันอยู่ สิ่งที่มาคู่กันคือ ‘สายคล้องแมสก์’ นอกจากจะมีประโยชน์ในการใช้สอย ความสวยงามแล้ว ยังสามารถเสริมสิริมงคลได้ด้วย เหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นของขวัญแก่ทุกเพศทุกวัย 

อย่างเชอร์ลี่ย์เกิดวันอาทิตย์ ก็จะเลือกใช้อัญมณีที่ชื่อซิทรีน (Citrine) เป็นพลอยสีเหลือง ซึ่งเป็นหินแห่งความสำเร็จ หรือหินเรียกเงินเรียกทอง นำความร่ำรวย ความเจริญรุ่งเรือง เสริมความสุข มีสติปัญญารวมถึงทางด้านสุขภาพจะช่วยลดความเครียด ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง เป็นต้น


อย่างน้อยพลังที่ทั้ง ‘ผู้รับ’ และ ‘ผู้ให้’ จะสัมผัสได้ทันทีเลยคือความสุข ความสวยงาม และกำลังใจที่ดี รวมถึงสิริมงคลที่สามารถเปลี่ยนจาก ‘ปีเสือโหย’ ให้กลายเป็น ‘เสือทอง’ ได้

สามารถติดตามชมเครื่องประดับ Shirley Gems ได้ทางออนไลน์ทุกช่องทาง ทั้ง facebook/Fanpage Shirley Gems และ Line: ShirleyGems


Share:

“อนุกรรมการนวัตกรรมสื่อ” แถลงผลการดำเนินงานปี 2564 และแผนปี 2565 ดึง “จอห์น นูโว” “ซี ฉัตรปวีณ์” ร่วมเสวนาสื่อสร้างสรรค์

กรุงเทพฯ, 14 ธ.ค. 64: คณะอนุกรรมการนวัตกรรมสื่อ ภายใต้ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดแถลงข่าวการดำเนินงานโครงการตลอดปี 2564 และทิศทางการดำเนินงาน ปี 2565 พร้อมกิจกรรมการเสวนาในหัวข้อ ใมมันโดยดึงสองผู้บริหาร/พิธีกรชื่อดัง และผู้รับทุนของกองทุนฯ “จอห์น นูโว” แท็กทีม “ซี ฉัตรปวีณ์” ร่วมเปิดมุมมองสื่อสร้างสรรค์ 

ภายในงานแถลงข่าว ในรูปแบบเฟซบุ๊กไลฟ์ ผ่านเพจเฟซบุ๊ก กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และเพจเฟซบุ๊ก Thairath ในวันนี้ ได้รับเกียรติจาก ดร.ธนกร ศรีสุกใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์, ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต ประธานคณะอนุกรรมการนวัตกรรมสื่อ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมด้วย สองผู้บริหาร/พิธีกรชื่อดัง จอห์น นูโว หรือ จอห์น รัตนเวโรจน์ ประธานสมาคมเครือข่ายเพื่อการเรียนรู้เท่ากันดิจิทัลเทคโนโลยี ผู้รับทุนโครงการ Digital Detective และกรรมการผู้จัดการ บริษัท สแพลช อินเตอร์แอ็คทีฟ จำกัด และซี-ฉัตรปวีณ์ ตรีชัชวาลวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โซเชียลแล็บ จำกัด และผู้รับทุนโครงการ iTop เจ้าของฉายา “เจ้าหญิงไอที” โดยได้รับความสนใจจากผู้ชมในห้องส่ง และทางออนไลน์จำนวนมาก

ดร.ธนกร ศรีสุกใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวภายในงานว่า “ปัจจุบัน สื่อมีผลต่อการเรียนรู้และพฤติกรรมของเด็กและเยาวชนมากขึ้น ขณะที่สื่อที่เหมาะสมกับเยาวชนมีจำนวนน้อย การผลิตสื่อสร้างสรรค์จึงมีข้อจำกัด ทั้งไม่เป็นที่นิยมของผู้ผลิต และขาดผู้สนับสนุน ทำให้ขาดเงินทุนในการผลิตสื่อที่มีคุณภาพ จึงจำเป็นที่จะต้องมีกองทุนในการผลิตสื่อที่มีคุณภาพเผยแพร่ เพื่อสงเสริมการเรียนรู้ และพฤติกรรมที่ดีของเด็ก และเยาวชน ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีของครอบครัว และส่งเสริมการมีส่วนของประชาชนในการพัฒนาสื่อ ด้วยเหตุนี้ กองทุนสื่อ จึงได้เริ่มดำเนินงานมา กว่า 4 ปี เพื่อให้ประชาชน เข้าถึง เข้าใจ และฉลาดในการใช้สื่ออย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ ภายใต้ยุทธศาสตร์สำคัญหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมพัฒนาการผลิตสื่อและเผยแพร่สื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยการสร้างนวัตกรรมเพื่อพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพ และพัฒนาทักษะสร้างสรรค์ผลงานสื่อให้แก่ประชาชนทุกกลุ่ม ซึ่งการทำงานที่กล่าวมานี้ อยู่ภายใต้การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการนวัตกรรมสื่อ”

“ผมขอชื่นชมในความทุ่มเทเสียสละของคณะทำงาน คณะอนุกรรมการนวัตกรรมสื่อทุกท่านที่ตระหนักถึงความสำคัญในบทบาทหน้าที่ เพื่อเด็กและเยาวชน ตลอดจนพี่น้องประชาชนจะรู้เท่าทัน และเสพสื่ออย่างปลอดภัย ซึ่งการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการนวัตกรรมสื่อ ภายใต้การนำของ รศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต มีความมุ่งมั่นตั้งใจ ทำงานโดยมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน มีแผนการทำงานเชิงรุก ท่ามกลางปัจจัยที่ส่งผลกระทบรอบด้าน และท้าทายในการสร้างสรรค์นวัตกรรมสื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด ทำให้คนเข้าถึงสื่อได้ง่าย รวดเร็ว และเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา”

“โดยเฉพาะสถานกาณ์ การระบาดของโรคโควิด-19 ที่เร่งการใช้เทคโนโลยีหรือสื่อออนไลน์เพิ่มขึ้น ซึ่งเราต่างพบว่า มีข้อมูลข่าวสารปลอมปะปนจำนวนมาก จนประชาชนกลั่นกรองได้ยากลำบาก แต่คณะทำงานก็สามารถทำงานภายใต้แรงเสียดทาน จนมีผลงานในภาพรวมออกมาเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง” ดร.ธนกร กล่าว

ด้าน ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต ประธานคณะอนุกรรมการนวัตกรรมสื่อ กล่าวว่า “เมื่อโลกเปลี่ยนทุกคนสามารถเป็นสื่อได้ คณะอนุกรรมการนวัตกรรมสื่อ จึงก่อตั้งขึ้นมา ด้วยเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างนวัตกรรมสื่อ เหตุเพราะทุกคนสามารถเป็นสื่อได้ จากเครื่องมือที่มี โดยเฉพาะ เทคโนโลยีหรือสื่อออนไลน์ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องพัฒนาสื่อให้มีคุณภาพสร้างสรรค์ เพราะจะส่งผลต่อการพัฒนาความคิด ทักษะทางสังคม เพื่อทุกคนจะมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สังคมให้ดีขึ้น”

ผศ.ดร.วรัชญ์ กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมการนวัตกรรมสื่อ ได้มีการดำเนินการโครงการสำคัญไปหลายโครงการ ดังนี้ 

 1.จัดทำนิยามนวัตกรรมสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์นั้นคือ ว่าการทำสื่อที่สร้างสรรค์และปลอดภัยเป็นอย่างไร

ทั้งนี้ นิยามนวัตกรรมสื่อ คือ สื่อที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่ หรือต่อยอดต่อสิ่งเดิม ซึ่งมีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะชน และกลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงได้ง่าย ขณะที่ นิยามของนวัตกรรมสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ คือ นวัตกรรมสื่อที่มีเนื้อหามุ่งเน้นให้เกิดผลดีต่อสังคม ทั้งด้านศีลธรรม จริยธรรม วัฒนธรรม และความมั่นคง ความคิดสร้างสร้างสรรค์ การเรียนรู้ทักษะชีวิต การรู้เท่าทันสื่อ การใช้ประโยชน์จากสื่อในการพัฒนาตนเอง ชุมชน และสังคม โดยกลุ่มเป้าหมายของการดำเนินงาน คือ สื่อ ผู้ผลิตสื่อ และนักเรียน นิสิต นักศึกษา ตลอดจนกลุ่มผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ หน่วยงานรัฐเอกชน และภาคีเครือข่ายตลอดจนประชาชนทั่วไป 

2.การมอบทุน

เป็นการพิจารณามอบทุนให้กับผู้ที่ต้องการสร้างนวัตกรรมสื่อ หรือต่อยอดจากโครงการเดิมไม่ว่าจะ Open Grant หรือ Strategic Grant หรือมอบทุนในลักษณะความร่วมมือหรือ Collaborative Grant

3.การวิจัยถอดองค์ความรู้นวัตกรรมสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

โครงการนี้ ได้ส่งผลให้เกิดแนวทางการพัฒนานวัตกรรมสื่อสำหรับผู้ผลิตสื่อ เกิดองค์ความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมและแนวทางการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนา รวมถึงข้อเสนอเชิงกลยุทธ์ต่อกองทุนในการส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมสื่อ 

4.การมอบรางวัลนวัตกรรมสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (Safe & Creative Media Innovation Awards)

คณะอนุกรรมการนวัตกรรมสื่อฯ ได้ร่วมกับ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์กรมหาชน) มอบรางวัลนวัตกรรมสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ 2 ประเภท ดังนี้

1.ประเภทเยาวชน

Innovation: การพัฒนาบอร์ดเกมเพื่อเพิ่มทักษะการรู้เท่าทันสื่อ ได้

Innovator (นวัตกร): นางสาวภณิดา แก้วกูร Website: https://www.newmeeple.com/ FB: https://www.facebook.com/NewMeeple/ เกม “The Rumor Villages” สร้างขึ้นเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ และทักษะการรู้เท่าทันสื่อแก่ เยาวชน โดยเนื้อหาในบอร์ดเกม เกิดจากแนวคิดการตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact check) จากคู่มือภาคปฏิบัตินักตรวจสอบข้อเท็จจริง

2.ประเภทบุคคลทั่วไป

Innovation: การพัฒนาการตรวจจับข่าวปลอมโดยการเรียนรู้ของเครื่องและการตรวจสอบข้อเท็จจริงของประชาชน

Innovator (นวัตกร): คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย รศ.ดร.พนม

คลี่ฉายา Website: https://www.thaidimachine.org/ โครงการพัฒนาต้นแบบเว็บแอปพลิเคชันสำหรับการตรวจจับข่าวปลอมและตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่ใช้เป็น กลไกการป้องกัน และแก้ปัญหาข่าวปลอมสำหรับประชาชน

5.การพัฒนาตัวชี้วัดนวัตกรรมสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยมีคณะอนุกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ หรือคณะอนุกรรมการนวัตกรรมสื่อ ดำเนินการโดยมีเป้าหมายการพัฒนาสื่อผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย ได้แก่ การสร้างนวัตกร (Innovator) สื่อในทุกระดับ, การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์, การต่อยอดผลงาน, การสร้างเครือข่าย, การเปิดเวทีระดมความคิดเห็น, การเผยแพร่นวัตกรรมสื่อ และการสร้างเครื่องมือและองค์ความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมสื่อ 

นอกจากนี้ ประธานคณะอนุกรรมการนวัตกรรมสื่อฯ ยังได้เผยถึงผลการดำเนินโครงการปี 2564 ดังนี้

1.โครงการ “เก๋าชนะ”: ทุนประเภทความร่วมมือ (Collaborative Grant)

รูปแบบรายการ "เก๋าชนะ" เป็นการ "ตอบคำถาม" ออนไลน์ และออฟไลน์ ผ่านแอปพลิเคชั่น Zoom โดยแข่งขันทางระบบออนไลน์ ผ่าน zoom ความยาวไม่เกิน 10 นาที จำนวน 16 ตอน มีผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 16 ทีม โดยผู้ชนะเลิศ ได้รับเงินและถ้วยรางวัล

2.iTOP แพลตฟอร์มสำหรับการค้นหา Micro Influencer (ระยะเวลาดำเนินการ 2564-2565) 

เป็นการอบรมเพื่อการสร้างรายได้ผ่านเทคโนโลยี ซึ่งทำให้เห็นว่า iTOP เป็นมากกว่าแพลตฟอร์มที่ค้นหา Micro Influencer แต่สามารถค้นหา "นักเล่าเรื่องระดับประเทศ" ได้ด้วย 

3.โครงการ Landlab (ระยะเวลาดำเนินการ 2564-2565)

LANDLAB (แลนด์แลป) เป็นพื้นที่เรียนรู้ด้านเกษตรและวิถีชุมชน เพื่อครอบครัวยุคใหม่ เพื่อพัฒนาพื้นที่เกษตรดั้งเดิม สู่การสร้างเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวและการเรียนรู้ใกล้เมือง จากชุมชนสู่ครอบครัวรุ่นใหม่ ทั้งยาวไทยและต่างประเทศ 

4.โครงการปฏิบัติธรรมออนไลน์ ทุกวันพระ (ระยะเวลาดำเนินการ 2564-2565)

สามารถเข้าไปเลือกกิจกรรมที่สนใจ ได้แก่ ทำวัตรเช้า/สวดมนต์ ฟังเทศน์ กิจกรรมฝึกนั่งสมาธิเบื้องต้น ทำวัตรเย็น/สวดมนต์ ผ่านระบบออนไลน์ 

5.insKru (ระยะเวลาดำเนินการ 2564-2565)

เมื่อคลิกเข้าไปที่ www.inskru.com จะพบกับคลังไอเดียการสอนสดใหม่จากครูทั่วประเทศ โดย insKru มีที่มาจาก inspire + Kru เริ่มจากภาพห้องเรียนที่เราวาดฝันอยากให้เป็น คือ ห้องเรียนที่เด็กๆ เรียนรู้กันอย่างมีความสุข และมีประสิทธิภาพ ทีม insKru มีความเชื่อว่าครูที่มีไอเดียดี กระจายอยู่ทั่วประเทศ ทางทีมจึงสร้าง online learning community เพื่อให้ครูกว่า 5 แสนคนทั่วประเทศ ได้มาแลกเปลี่ยนไอเดียการสอนดีๆ เพื่อเปิดมฺมองในการสอนและขยายไอเดียการสอนดีๆ สู่ห้องเรียนทั้งประเทศ 

“คณะอนุกรรมการนวัตกรรมสื่อ เรายังคงมุ่งมั่น ในการดำเนินงานโครงการ ตามยุทธศาสตร์และการทำงานเชิงรุก ตลอดจนการทำงานประสานกับภาคีเครื่อข่ายที่มีเป้าประสงค์เดียวกัน ทั้งนี้ เพื่อเด็กและเยาวชน ตลอดจนพี่น้องประชาชนจะรู้เท่าทัน และเสพสื่ออย่างปลอดภัย” ผศ.ดร.วรัชญ์ กล่าว

นอกจากนี้ ภายในงานยังได้จัดให้มีการเสวนาในหัวข้อ “สื่อสร้างสรรค์: Media Transforming in Digital Disruption” โดยผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต ประธานคณะอนุกรรมการนวัตกรรมสื่อ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์, จอห์น นูโว หรือ จอห์น รัตนเวโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สแพลช อินเทอร์แอ็คทีฟ จำกัด และซี-ฉัตรปวีณ์ ตรีชัชวาลวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซเชียลแล็บ จำกัด หรือเป็นที่รู้จักในนาม “เจ้าหญิงไอที” ผู้ที่ได้รับทุนโครงการ iTOP แพลตฟอร์มค้นหา Micro Influencer จากทางกองทุนฯ ซึ่งมีผู้สนใจเข้ารับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจำนวนมาก กระทั่งการเสวนาจบลงด้วยความประทับใจ

สำหรับประชาชนที่สนใจ และต้องการมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์นวัตกรรมสื่อ สามาถเข้าร่วมงาน นวัตกรรมสื่อสร้างสรรค์ “Media Innovations Showcase & Forum 2022” ซึ่งจะจัดขึ้นทั้งในกรุงเทพมหานครและภูมิภาคต่างๆ ในวันที่ 23 ธันวาคม 2564 ที่จังหวัดนครราชสีมา วันที่ 14 มกราคม 2565 ที่จังหวัดเชียงใหม่ และวันที่ 28 มกราคม 2565 ที่กรุงเทพฯ พบกับการนำเสนอผลงานนวัตกรรมสื่อ ผลการวิจัย การเสวนา และรายละเอียดการเปิดรับทุนปี 2565 นี้ ร่วมถึง Workshop เปิดรับฟังความคิดเห็นแนวทางการส่งเสริมนวัตกรรมสื่อสร้างสรรค์ มาร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมไทยอย่างสร้างสรรค์และปลอดภัย

Share:

โค้งสุดท้าย! ลดหย่อนภาษีได้

TIPlife Smart Pension 90/2 ประกันชีวิตแบบบำนาญชำระเบี้ยแค่ 2 ปีเท่านั้น รับเงินบำนาญสูงสุดถึงอายุ 90 ปีลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 300,000 ไม่ต้องตรวจและตอบคำถามสุขภาพ

✔️ระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัย 2 ปี
✔️รับเงินบำนาญสูงสุดถึงปีละ 15% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
✔️รวมรับบำนาญสูง 465% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย
✔️คุ้มครองชีวิต 105% ของเบี้ยประกันภัยที่ชำระมาแล้ว ตั้งแต่ ปีกรมธรรม์ที่ 1 ถึงวันก่อนครบรอบปี กรมธรรม์ที่อายุครบ 60 ปี
✔️อายุรับประกันตั้งแต่ 20 - 54 ปี
✔️จำนวนเงินเอาประกันภัยขั้นต่ำ 50,000 บาท
✔️สมัครง่าย ไม่ต้องตรวจและไม่ต้องตอบ คำถามสุขภาพ

สนใจและคำนวณเบี้ย คลิก​:: https://bit.ly/3F4pfcY

หมายเหตุ

ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

- เ​งื่อนไขการลดหย่อนภาษีเป็นไปตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร

#ประกันลดหย่อนภาษี #TIPLIFE #ทิพยประกันชีวิต

Share:

“ออโรร่า ไดมอนด์” เปิดตัว “LEVA Collection” ครั้งแรก ของเพชรแท้ประกายความงามสมบูรณ์แบบที่สร้างความยั่งยืนเพื่อโลกในอนาคต

ครั้งแรกที่ ออโรร่าไดมอนด์ (Aurora Diamond) จะพาทุกสายตาไปยลโฉมความเลอค่า ของเพชรแท้ธรรมชาติที่มีประกายแสงเหนือกว่าพบเพียง 2% ในโลก “LEVA Collection” ออโรร่าไดมอนด์ คัดสรรเพชรที่เปล่งประกายงดงามที่สุดระดับ Ultimate Light Performance ความงดงามเหนือกว่านี้สามารถสัมผัสได้ด้วยตาเปล่า สมบูรณ์แบบทั้ง ประกายแสง (Brilliance) ประกายแสงสีรุ้ง(Fire) ความระยิบระยับ(Sparkle) และความสมมาตรของแสง(Light Symmetry) ผ่านการรับรองโดยสถาบันชั้นนำระดับโลก ถึง 3 สถาบัน คือ De Beers Institute of Diamond (เดอเบียร์ส) Sarine (ซารีน) และจาก Aurora Diamond (ออโรร่าไดมอนด์)

คุณลภัสรดา ฤติวรางค์กูร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์เพชร บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด กล่าวว่า อัญมณีเพชรเป็นอีกหนึ่งกลุ่มเครื่องประดับที่มีวางจำหน่ายในร้านของออโรร่ามานานกว่า 50 ปี ซึ่งเครื่องประดับเพชรของร้านจะเน้นใส่ใจในเรื่องของคุณภาพ มีราคาที่จับต้องได้ และเพื่อตอบสนองให้กลุ่มลูกค้าสามารถเข้าถึงเครื่องประดับเพชรได้ง่ายขึ้น ออโรร่าจึงได้เปิดตัวแบรนด์ ออโรร่าไดมอนด์ (Aurora Diamond) ขึ้นเมื่อปี 2015 โดยเน้นเครื่องประดับที่มีดีไซน์ทันสมัย เรียบหรูดูดี และสามารถสวมใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน พร้อมยังสร้างความสะดวกสบายในการเข้ารับบริการ ด้วยการเป็นแบรนด์เพชรอันดับหนึ่งที่มีสาขามากที่สุดในไทย ครอบคลุมกว่า 213 สาขาทั่วประเทศ

“ออโรร่าไดมอนด์เป็นแบรนด์เพชรแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในประเทศไทย ที่เป็นคู่ค้ากับบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการเพชรอย่าง เดอเบียร์ส (De Beers) จากอังกฤษ และ ซารีน (Sarine) จากอิสราเอล โดยทั้งสองถูกยอมรับในฐานะสถาบันวัดระดับคุณภาพเพชรด้วยมาตรฐานระดับโลก จากเทคโนโลยี AI ที่ถูกนำมาใช้ในการประเมิน และให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องแม่นยำกว่าวิธีอื่น พร้อมยังช่วยรับรองไปถึงคุณภาพเพชรของออโรร่าไดมอนด์ จนแบรนด์มีการยกระดับและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว”

LEVA Collection เป็นคอลเลคชั่นเครื่องประดับเพชร ที่ออโรร่าไดมอนด์พิถีพิถันคัดสรรจากเพชรแท้ธรรมชาติที่หายากและพบเพียง 2% ของเพชรในโลก มีความงดงามเหนือกว่าสามารถสัมผัสได้ด้วยตาเปล่า ที่เปล่งประกายเล่นแสงไฟมากกว่าเพชรทั่วไป อยู่ในระดับสูงสุดที่เรียกว่า Ultimate Light Performance หรือสมบูรณ์แบบทั้งด้านประกายแสง (Brilliance), ประกายแสงสีรุ้ง (Fire), ความระยิบระยับ (Sparkle) และความสมมาตรของแสง (Light Symmetry) อีกทั้ง LEVA Collection ยังเป็นคอลเลคชั่นแรกของไทย ที่ใช้สัญลักษณ์ 5C’s ในการรับรองคุณภาพเพชร ซึ่งเหนือกว่าเกณฑ์ประเมินทั่วไปที่ใช้หลัก 4C’s โดยที่ LEVA จะประเมินเพชรตามรายละเอียดที่มี ทั้ง สี (Color), น้ำหนัก (Carat), การเจียระไน (Cut) และความสะอาด (Clarity) พร้อมเพิ่มอีกมาตรฐานคือ ความมั่นใจ (Confidence) ตามแบบฉบับความงามที่แท้จริงของเพชร (The Real Beauty of Diamond)

มาตรฐานความมั่นใจ (Confidence) ในสัญลักษณ์ 5C’s มาจากการรับรองของสถาบันระดับโลกอย่าง De Beers Institute of Diamond หรือเดอเบียร์ส และซารีน ที่ใช้เทคโนโลยี AI ขั้นสูงสุดในการตรวจสอบเพื่อความถูกต้องและแม่นยำ LEVA Collection จึงเป็นคอลเลคชั่นเครื่องประดับเพชรแรก ที่มีใบเซอร์หรือรับรองคุณภาพ (Certificate) ถึง 3 ใบ จากใบเซอร์ De Beers, ใบเซอร์ Sarine และใบเซอร์ Aurora Diamond 
ทั้งนี้ ความมั่นใจจาก LEVA Collection ยังสะท้อนจากที่มาของแหล่งเพชรธรรมชาติ รับรองด้วย De Beers Code of Origin (CoO) ที่เพชรทุกเม็ดจะนำไปสู่การสร้างรายได้ การช่วยเหลือผู้คนในด้านการศึกษา อาชีพ ไปจนถึงงานด้านสาธารณสุข การอนุรักษ์สัตว์ป่า และการปกป้องสิทธิสตรีและเด็ก ที่สำคัญ LEVA ยังเป็นคอลเลคชั่นแรกที่ผลิตบนหลักของความยั่งยืน (Sustainability) ที่นำไปสู่เป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ในปี 2030 เพื่อโลกที่ยั่งยืนในอนาคตอีกด้วย

LEVA Collection คือก้าวสำคัญในการพิสูจน์ถึงเพชรที่มีทั้งคุณภาพและราคาคุ้มค่าตามสิ่งที่เรายึดมั่น รวมถึงเป็นเครื่องประดับของคนรุ่นใหม่ที่ทั้งสวมใส่ได้จริงในชีวิตประจำวัน พร้อมช่วยให้ผู้สวมรู้สึกมีความมั่นใจ และภาคภูมิใจในความหมายของ LEVA เพราะนี่คือครั้งแรกที่คุณจะได้สัมผัสเพชรแท้ที่มีประกายแสงเหนือกว่า พบเพียง 2% ในโลก ครั้งแรกที่คุณจะรู้แหล่งที่มาของเพชร และครั้งแรกที่เพชรของคุณจะได้ช่วยโลกและผู้คน สามารถสร้างความยั่งยืนให้โลกในอนาคต ซึ่งความภูมิใจเหล่านี้จะถูกต่อเติมให้ผู้คนรู้สึกว่าเพชรเป็นสินค้าใกล้ตัว และกลายเป็นเครื่องประดับที่คนทั่วไปคุ้นเคย ผลักดันให้ตลาดมูลค่ารวมของอุตสาหกรรมเพชรเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน” คุณลภัสรดา กล่าว 

เตรียมสัมผัสกับความเลอค่าของเพชรแท้ธรรมชาติ กับความงดงามที่เปล่งประกายสัมผัสได้ด้วยตาเปล่า กับ “LEVA Collection” ได้ที่ Aurora Diamond กว่า 213 สาขาทั่วประเทศ หรือติดตามได้ที่ facebook.com/AuroraDiamondOfficial

Share:

แนวทางการร่วมบูรณาการเพื่อพัฒนา “อีอีซี” สู่เมืองน่าอยู่อัจฉริยะ ความท้าทายของทุกภาคส่วน ในการเป็น ‘สมาร์ทซิตี้’

“เมืองน่าอยู่ สู่เมืองอัจฉริย” ในพื้นที่ศักยภาพของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี จะเกิดขึ้นได้ต้อง ร่วมกันของทุกภาคส่วน และผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากนโยบายเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ” ส่วนหนึ่งในการสัมมนาวิชาการออนไลน์ “แนวทางการร่วมบูรณาการเพื่อพัฒนา EEC สู่เมืองน่าอยู่อัจฉริยะ” EEC towards smart livable city จัดโดย นักศึกษาหลักสูตรบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต X-DBA รุ่นที่ 7 คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “ความสำคัญของเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ แนวทางการบูรณาการ ร่วมกันของทุกภาคส่วนและผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากนโยบายเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ ว่า การที่จะเป็นเมืองน่าอยู่แล้ว อัจฉริยะ ต้องพึ่งพาความมีวินัย และสุจริต ต้องไม่มีการคดโกง บริหารบนหลักธรรมาภิบาล ความอัจฉริยะของเมืองต้องขึ้นอยู่กับคน ไม่ใช่เพียงแค่พึ่งเครื่องไม้เครื่องมืออย่างเดียวในการเป็นอัจฉริยะ แต่มันต้องน่าอยู่ด้วย ให้ดูตัวอย่างพัฒนาการศึกษาอย่างโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด ที่มีการพัฒนามาเป็นอย่างดี มีทั้งข้อดี และจุดอ่อน เพราะฉะนั้นเอาสิ่งดีๆ มาพัฒนาก็จะทำให้ อีอีซี มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง และสัมพันธ์กัน 

นางสาวพจณี อรรถโรจน์ภิญโญ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านนโยบายและแผน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวในมุมมอง การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เมืองน่าอยู่อัจฉริยะ ยกระดับเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยว่า การส่งเสริมเมืองใหม่อัจฉริยะน่าอยู่เป็นหนึ่งในหลายแผนการพัฒนาของอีอีซี โดยแผนงานนี้มีเจ้าภาพคือ คณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่มีสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เป็นเลขานุการคณะกรรมการ ด้วยการพัฒนาได้ใน 2 แนวทาง คือ การพัฒนาเมืองใหม่ให้เป็นเมืองอัจฉริยะ และเมืองเก่าที่มีศักยภาพให้เป็นเมืองอัจฉริยะ โดยขั้นตอนจะขออนุมัติจากคณะกรรมการระดับจังหวัด และคณะกรรมการชุดใหญ่ของประเทศ และเมื่อได้รับการอนุมัติจะมีการขอส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ  

การพัฒนาเมืองอีอีซี จะมีการศึกษา โดยเอาเทคโนโลยีอัจฉริยะมาใส่ 7 เรื่อง ได้แก่ พลังงาน สุขภาพสาธารณสุข ข่าวสารข้อมูล คุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ การเพิ่มรายได้ให้คนในพื้นที่ด้วยการใช้เทคโนโลยี ดิจิทัล ที่ให้ประชาชนในพื้นที่ต้องเข้าถึงดิจิทัลได้มากกว่า 70% 

ปัจจุบันมีเมืองในพื้นที่อีอีซีที่ได้รับการอนุมัติแล้วจากคณะกรรมการให้เป็นเมืองอัจฉริยะ ได้แก่ จังหวัดชลบุรี โครงการสามาร์ทซิตี้ และโครงการ EECi ในจังหวัดระยอง ส่วนเมืองใหม่ที่จะเป็นเมืองอัจฉริยะในอนาคต มีอีก 10 พื้นที่ใน 3 จังหวัดที่จะเกิดขึ้น ได้แก่ บริเวณใกล้สนามบินอู่ตะเภาในรัศมีรอบ 30 กิโลเมตร พื้นที่รอบสถานีรถไฟความเร็วสูง เมืองเมดิเคิลฮับ จ.ชลบุรี อีอีซีเมืองธุรกิจน่าอยู่ 

ทางด้าน ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดระยอง 4 สมัย กล่าวถึงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะว่า รัฐบาลต้องการวางเป้าหมายให้อีอีซีเป็นพื้นที่ที่นักลงทุนเชื่อมั่น ซึ่งต่อยอดจากฐานอีสเทิร์นซีบอร์ด ซึ่งมีความพร้อมเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานนอกจากนี้ในการผลักดันให้เป็นเมืองอัจฉริยะน่าอยู่จะต้องมีระบบสาธารณสุขที่ดี โดยกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับภาคเอกชนผลักดันโครงการสุขภาพที่สำคัญ คือ ศูนย์จีโนมิกส์แห่งชาติ ที่มหาวิทยาลัยบูรพา โดยจะมีการเก็บตัวอย่าง 5 หมื่นคนในพื้นที่อีอีซี 3 จังหวัด เพื่อให้สามารถรักษาในระดับพันธุกรรมตามแผนงานการแพทย์อีกด้วย

และจะมีการยกระดับโรงพยาบาลปลวกแดงให้มีศักยภาพในการดูแลประชาชนในพื้นที่อีอีซี โดยเป็นโครงการการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน โครงการแรกของกระทรวงสาธารณสุขและภาคเอกชนในรูปแบบให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐเพื่อลดความแออัด และยกระดับโรงพยาบาล โดยต้องมีการเปิดประมูลเพื่อเสนอราคาและโครงการในการดูแลประชาชนเพื่อเป็นพื้นที่ลงทุน ถือเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกที่จะมีการลงทุนแบบ PPP ซึ่งเมืองอัจฉริยะจะเป็นเมืองน่าอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีคุณภาพชีวิต และคุณภาพที่ดีด้วย” 

ด้านนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานกรรมการบริหารโรงเรียนกำเนิดวิทย์ ประธานกรรมการ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวในมุมมองความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอัจฉริยะว่า ศักยภาพของเขตอีอีซี สามารถที่จะเป็นเมืองอัจฉริยะที่มีความน่าอยู่ และส่งเสริม

คุณภาพชีวิตที่ดีของคนในพื้นที่ จากความพร้อมเรื่องโครงสร้างพื้นฐานในอีอีซีที่มีการเชื่อมโยงกับภูมิภาคอื่นๆของประเทศ รวมทั้งการขนส่งที่ทางถนน ทางราง และทางเรือที่เพิ่มบทบาทความเป็นศูนย์กลางในด้านโลจิสติกส์ของอีอีซี

อย่างไรก็ตามแนวทางและนโยบายในการส่งเสริม Smart City ในรูปแบบที่อีอีซีมีการส่งเสริมในปัจจุบันมีพื้นที่อื่นๆที่เป็นคู่แข่งและมีการส่งเสริมการลงทุนเช่นกัน โดยในภูมิภาคอาเซียนและที่ใกล้เคียงมี 2 พื้นที่ดึงดูดการลงทุนเรื่อง Smart City ได้แก่เขตเศรษฐกิจพิเศษในเวียดนาม และในประเทศจีนที่มีการสนับสนุนนโยบาย Smart City ที่สำคัญใน 2 พื้นที่คือ บริเวณ Greater Bay Area และเขตเศรษฐกิจพิเศษไหหลำ

ทั้งนี้การที่จะส่งเสริมให้นโยบายSmart City ของอีอีซีประสบความสำเร็จ และสามารถดึงดูดการลงทุนได้นอกจากเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่มีความพร้อมแล้วจะต้องมีการเตรียมความพร้อมใน 2 เรื่องคือเรื่องสิทธิประโยชน์และกฎระเบียบ และเรื่องความพร้อมของแรงงาน

ในเรื่องของสิทธิประโยชน์ ซึ่งจะต้องมั่นใจว่าสามารถที่จะแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ที่มีนโยบายใกล้เคียงกับการส่งเสริม Smart City เพื่อดึงดูดการลงทุน ส่วนในเรื่องของกฎหมาย กฎระเบียบต้องไม่เป็นอุปสรรคกับการลงทุนใน Smart City และการเตรียมความพร้อมแรงงานรุ่นใหม่ ที่มีความรู้ที่จำเป็นและเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอัจฉริยะ ได้แก่ทักษะ ในเรื่องดิจิทัล เพราะเทคโนโลยีต่างๆ จะอาศัยระบบดิจิทัลในการสั่งการ ควบคุมจากส่วนกลาง ถือว่าใช้เทคโนโลยีขั้นสูงใช้หุ่นยนต์ และซอฟแวร์ในการกำกับต่างจากในอดีตมาก เช่น โครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ที่เกิดขึ้นจะไม่มีคนงานอยู่บนท่าเรือมากนัก

นอกจากนี้ในเรื่องของแรงงานก็มีความน่าเป็นห่วงคืออัตราการเกิดของประชากรไทยที่น้อยปัจจุบันมีอัตราการเกิดของเด็กใหม่ประมาณ 6 แสนคน และในปีนี้ที่สถานการณ์โควิด-19 ระบาดหลายเดือน อัตราการเกิดของเด็กในไทยจะมีแค่ 4 แสนคนเท่านั้น ขณะที่เวียดนามอัตราเด็กเกิดใหม่อยู่ที่ 1.5 ล้านคน จึงดึงดูดการลงทุน และมีความพร้อมเรื่องแรงงานมากกว่าไทย 

ด้าน นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. กล่าวถึงในมุมมองมุ่งสู่ศูนย์กลางการลงทุน กับอุตสาหกรรมเป้าหมาย 12 ประเภท ในพื้นที่ อีอีซี ส.อ.ท.พร้อมช่วยผลักดัน พื้นที่ให้โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี เนื่องจากเห็นโอกาสจากสถานการณ์โควิดที่ทำให้เกิดนโยบายเปลี่ยนแปลงในด้านการให้ความสำคัญของเทคโนโลยี ทำให้ภาคอุตสาหกรรมเปลี่ยนไป และต้องมีการปรับตัว ขณะเดียวกันทุกอุตสาหกรรมยังต้องคำนึงเรื่อง สิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมเรื่องของความยั่งยืน 

ปัจจุบันภาครัฐได้เตรียมความพร้อม ใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายในอีอีซี ประกอบด้วย 1.อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ 

2. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ 

3. อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ 

4.อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร 

5.อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการ ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 

6.อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ 

7.อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ 8.อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร 9.อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพ และเคมีชีวภาพ 10. อุตสาหกรรมดิจิทัล 

11.อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ และ 12.อุตสาหกรรมการพัฒนาบุคลากรและการศึกษา นายสุพันธุ์ มงคลสุธี กล่าวปิดท้าย

Share:

Amazfit ร่วมฉลองเทศกาลแห่งความสุขสุดยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี!! กับแคมเปญชุดของขวัญเพื่อสุขภาพ “Healthy Innovation Solution” เพื่อคนที่คุณรัก

 

กรุงเทพฯ 21 ธันวาคม 2564 –  Amazfit แบรนด์สินค้าภายใต้บริษัท Zepp Health (NYSE:ZEPP) ผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ติดอันดับท็อป 4 ของการจัดส่งสมาร์ทวอทช์ทั่วโลกในปี 2564 ตามข้อมูลจาก International Data Corporation (IDC) 

เทศกาลแห่งความสุข ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่กำลังมาถึงนี้ Amazfit พร้อมจัดแคมเปญ “Healthy Innovation Solution” คัดสรรของขวัญชุดพิเศษสำหรับคนรักสุขภาพ มอบให้กับคนที่คุณรักในราคาสุดพิเศษ พร้อมของสมนาคุณ เพื่อให้คุณได้เลือกซื้อและมอบให้กับคนที่คุณรัก ในเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองนี้ ด้วยสินค้าคุณภาพ ดังนี้

  • Amazfit GT3 Series สมาร์ทวอทช์ที่โดดเด่นทั้ง 3 รุ่น ได้แก่ GTR3 Pro, GTR 3 และ GTS 3 ขับเคลื่อนด้วยแอปพลิเคชั่น Zepp OS ระบบปฏิบัติการใหม่ได้รับการปรับแต่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ Amazfit แทนการถ่ายโอนระบบปฏิบัติการสมาร์ทโฟนที่สิ้นเปลืองพลังงานไปยังข้อมูลของผู้ใช้งาน สร้างขึ้นภายใต้แนวคิดที่เบา ราบรื่น และใช้งานได้จริงและยังช่วยให้การโต้ตอบได้ง่าย ที่สร้างสรรค์มาเพื่อการดูแลสุขภาพให้เป็นเรื่องง่าย (Smart Health Made Easy) ซึ่งระบบสามารถทำงานบนอุปกรณ์ Android และiOS และเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มด้านสุขภาพยอดนิยม เช่น Apple Health หรือ Google Fit เพื่อซิงค์ข้อมูลสุขภาพอย่าง Strava, Relive, Rundeeper และ TrainingPeaks สามารถซิงค์และแชร์ข้อมูลได้ 
  • Amazfit T-Rex Pro สมาร์ทวอทช์ที่มีความโดดเด่นในหลายฟังก์ชั่น ประกอบด้วย ฟังก์ชั่น OxygenBeats™ การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ที่ทำให้เราสามารถกำหนดระยะเวลาในการออกกำลังกายในระดับที่เหมาะสม หรือการวัดค่า SpO2 สามารถวัดความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด ซึ่งทำได้บ่อยครั้งเท่าที่ต้องการเพื่อปรับปรุงผลลัพธ์ให้ดีขึ้นและยังสามารถวัดค่าแคลอรี่ที่เผาผลาญในทุกกิจกรรม, VO2max, รวมถึง GPS Built-in ที่เชื่อมต่อดาวเทียมนำทาง ตัวเครื่องทนทานเพราะทำจากโลหะคุณภาพสูง กันน้ำได้ระดับ 10ATM อีกทั้งในเรื่องของแบตเตอรี่ที่มีความอึดถึง 18 วัน ทำให้มั่นใจสำหรับการทำกิจกรรมท้าทายกลางแจ้งได้อย่างดีเยี่ยม และยังมีโหมดกีฬากว่า 100 โหมด รองรับความต้องการของแฟนพันธ์แท้สายกีฬาได้อย่างดีที่สุด 

  •  Amazfit Airrun ลู่วิ่งไฟฟ้าอัจฉริยะ ดีไซน์มินิมอลพร้อมลำโพง JBL เสียงคุณภาพ สะดวกพับเก็บได้ป้องกันการกระแทกที่หัวเข่าขณะวิ่ง พร้อมBuil-in ลำโพง JBL ออกแบบทันสมัยด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานแบบอัจฉริยะด้วยการเชื่อมต่อผ่านแอปพลิเคชั่นทางโทรศัพท์มือถือ Zepp ซิงค์ข้อมูลอัตราการเต้นของหัวใจกับอุปกรณ์ที่สวมใส่กับ Smartwatch Amazfit ได้แก่ Bip U Pro / GTS 2mini / GTR2/ GTS2/ T-Rex Pro และ GT3 Series ที่โดดเด่นทั้ง 3 รุ่น ได้แก่ GTR3 Pro, GTR 3 และ GTS 3 มาพร้อมลำโพง JBL Buil-in สองข้าง เสียง Surround โดยไม่ต้องสวมหูฟัง สายพานวิ่งแบบกว้างพิเศษให้พื้นที่วิ่งที่กว้างและให้ความมั่นคง กันลื่น และทนต่อการสึกหรอและแถบขอบยางนุ่มช่วยให้ผู้ใช้วิ่งสบายและปลอดภัยยิ่งขึ้น การดูดซับแรงกระแทก ติดตั้งโช้คอัพ 8 ตัว ระหว่างบอดร์ดวิ่งและเฟรมหลักให้การใช้งานที่ราบรื่น โดยไม่รู้สึกแข็งหรืออ่อนเกินไป ปกป้องเข่าและลดเสียงรบกวนแม้วิ่งด้วยความเร็วสูงไม่รบกวนผู้อื่น และยังสามารถใช้งานกับแอปฯ Zwift เพื่อวิ่งแบบ Virtual run ได้อีกด้วย เป็นทางเลือกของผู้รักสุขภาพ ทำให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องสนุก ด้วยการออกแบบทันสมัยด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานแบบอัจฉริยะด้วยการเชื่อมต่อผ่านแอปพลิเคชั่นทางโทรศัพท์มือถือ Zepp ซิงค์ข้อมูลอัตราการเต้นของหัวใจกับอุปกรณ์ที่สวมใส่กับ Smartwatch Amazfit เพื่อให้คุณติดตามข้อมูลสุขภาพได้ตลอดเวลา
  • Amazfit Smart Scale เครื่องชั่งน้ำหนักอัจฉริยะ โดยทุกการทำงานเชื่อมข้อมูลผ่นแอปพลิเคชั่น Zepp ดาวโหลดฟรีทั้ง iOS และ Android ในคอนเซ็ปต์ “Synchronized Your healthy Life สุขภาพดีเชื่อมต่อด้วยเทคโนโลยีที่เหนือชั้น ด้วยรูปลักษณ์การออกแบบที่ทันสมัย ด้านบนเป็นกระจก Tempered Glass และยังสามารถเชื่อมกับ Wi-Fi และบลูทูธ ที่สามารถเชื่อมต่อสมาร์ทวอทช์ผ่านระบบ Zepp OS ได้อีกด้วย  
พบกับชุดของขวัญเพื่อสุขภาพ ครบชุด สุดคุ้ม โดนใจผู้รับ ช้อปได้เลยที่ https://shopee.co.th/amazfitofficialstore

Share:

ชวนชิมชอป 50 ร้านอร่อยยอดฮิตแบบออนไลน์ส่งท้ายปี ในงาน “Gourmet Foodie Fest Online Market 2021”

งานนี้สายกิน นักชอป นักชิม ทั้งหลายไม่ควรพลาด! นิตยสาร Gourmet & Cuisine ผู้นำคอนเทนต์ด้านไลฟ์สไตล์การกิน-เที่ยว ยกทัพความอร่อยมาเอาใจเหล่าฟู้ดดีส์กับมหกรรมงานกิน-ชอปส่งท้ายปีในรูปแบบออนไลน์ กับงาน “Gourmet Foodie Fest Online Market 2021” รวมร้านอร่อยกว่า 50 ร้านดัง ในรูปแบบ Online Market ให้คุณได้เลือกชอปได้อย่างจุใจ กับร้านอร่อยฮิตติดเทรนด์ในโซเชียล ร้านอาหารจากเชฟชื่อดัง ร้านอาหารนานาชาติในเครือโรงแรมชั้นนำ ร้านอาหารจากคู่มือมิชลินไกด์ ร้านดังจากศิษย์เก่า เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต และร้านเบเกอรี่ออนไลน์ยอดนิยม กับโปรโมชันสุดพิเศษส่งท้ายปี บนแพลตฟอร์มออนไลน์ในเครือของ Gourmet & Cuisine พร้อมเพลิดเพลินไปกับ 4 หนุ่มแก๊งสาย Y บ้าน Ultimate Troop นำทีมโดย เก็ต, ลิตไตเติ้ล, ต้นน้ำ และแมน ที่จะมาร่วมทำกิจกรรมและแจกของรางวัลผ่านทาง Live สด ทาง Facebook : Gourmet & Cuisine ระหว่างวันที่ 20 ธันวาคม 2564 - 9 มกราคม 2565

นางสาวภริตา วิริยะรังสฤษฎ์ บรรณาธิการบริหาร นิตยสาร Gourmet & Cuisine เปิดเผยว่า เป็นครั้งแรกที่นิตยสาร Gourmet & Cuisine จัดมหกรรมอาหารในรูปแบบ “Online Market” เพื่อให้สอดรับกับการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ ชอปง่ายแค่ปลายนิ้ว จะสั่งมาสังสรรค์ที่บ้าน หรือส่งความสุขด้วยอาหารอร่อยให้กับคนที่รักก็สะดวก ทั้งยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางส่งเสริม และประชาสัมพันธ์ร้านค้าร้านอาหารคุณภาพสูงที่คัดสรรความอร่อยโดย Gourmet & Cuisine สั่งแล้วไม่มีผิดหวัง ซึ่งในช่วงเทศกาลปลายปีแบบนี้ก็มีเมนูและสินค้าใหม่ๆ ที่น่าสนใจ รวมทั้งโปรโมชันแรงๆ มาร่วมในงานครั้งนี้ด้วย

โดยภายงานได้รวบรวมร้านอาหารกว่า 50 ร้านอร่อยยอดฮิต มาให้ได้เลือกชอปผ่านออนไลน์ในโปรโมชันสุดพิเศษ  อาทิ ร้านอร่อยฮิตติดเทรนด์ในโซเชียล เช่น ร้านเจ๊แดงสามย่าน กับเมนูไฮไลต์คอหมูย่างในตำนาน รสชาติหวานเค็มกลมกล่อม หอมกลิ่นข้าวคั่วและพริกป่น ย่างด้วยเตาถ่านแบบดั้งเดิม เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มแจ่วแซ่บๆ ของทางร้าน ร้าน Smoked สาวกเนื้อรมควันตัวจริงต้องได้มาลิ้มลองสัมผัสเนื้อระดับพรีเมียม นุ่มละมุน ละลายในปาก และหอมน้ำมันเนื้อรมควัน ร้าน 8 Sqm กับเมนูไก่คาราอาเกะสูตรต้นตำรับคุณแม่ชาวญี่ปุ่น เพิ่มความทวิสต์ด้วยซอสดิป 3 แบบ เสิร์ฟพร้อมแฮชบราวน์ทอดร้อนๆ ทานคู่กันแล้วอิ่มกำลังดี 

ร้านอาหารจากเชฟชื่อดัง เช่น ร้านเรือโป๊ะซีฟู้ด byแสนสมบูรณ์ ร้านอาหารทะเลชื่อดังจากจังหวัดชลบุรีที่จะเสิร์ฟทะเลถึงปลายลิ้น กับวัตถุดิบสดใหม่ปรุงรสชาติจัดจ้านแบบชาวเลแท้ๆ 

ร้าน Chunky ร้านเบอร์เกอร์สุดครีเอตที่ผสมผสานความเป็นไทยอย่างลงตัว กับเมนู Chunky’s Wife Burger เบอร์เกอร์น้ำพริกอ่องผสมกับแยมเบคอน ได้กลิ่นอายของน้ำพริกอ่อง รสชาติเผ็ดนิด เปรี้ยวหวานกลมกล่อมสุดๆ 

ร้านอาหารนานาชาติในเครือโรงแรมชั้นนำ เช่น ร้านอาหารไทย “ทองหล่อ” กับเมนูอาหารไทยพื้นบ้านร่วมสมัยมากกว่า 150 เมนู เช่น เมนูมัสมั่นเนื้อเสือร้องไห้ หมี่กรอบหลงกรุง ปลาย่างใบยอ 

ร้าน Vegan Plus by MedFood เอาใจสายสุขภาพด้วยเมนูวีแกน มังสวิรัติ เจ กับไฮไลต์ของร้านด้วยเมนูที่ใช้แป้งโฮลวีต 100% ไม่ผสมแป้งขัดขาว ร้านดังจากศิษย์เก่าของเลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต เช่น ร้าน Sarina’s Sweet Treats, ร้าน Chapter9cafe.bkk 

ร้านอาหารจากคู่มือมิชลินไกด์ เช่น ห้องอาหารสุพรรณิการ์ โดดเด่นด้วยอาหารไทยร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นแกงหมูชะมวง พะแนงเนื้อลาย น้ำพริกไข่ปู ยำเนื้อลาย ร้าน La Dotta Pasta Bar & Store ร้านพาสตาบาร์ร้านแรกในเมืองไทย ที่เน้นเสิร์ฟเมนูพาสตาสไตล์อิตาเลียนแท้ โดยเน้นที่พาสตาเส้นสดทำเอง ร้านเบเกอรี่ออนไลน์ยอดนิยม เอาใจสายหวาน อาทิ ร้าน SAI.coffee.cake, ร้าน Matcha Voyage, ร้าน Scone' n Me, ร้าน Sweet Simple, 

ร้าน Minioven.bkk, ร้าน Sweetiebombie, ร้าน Teatime Story, ร้านโบราณหวาน และร้านยอดฮิตอีกมากมายให้ได้เลือกชอปชิมกันตลอดทั้งงาน

พลาดไม่ได้กับกิจกรรม Live สดผ่านทาง Facebook Live : Gourmet & Cuisine กับ 4 หนุ่มแก๊งสาย Y บ้าน Ultimate Troop อาทิ ลิตไตเติ้ล-เตชินท์ อนุศาสนนันท์ และแมน-ศุภกฤต จรูญเมธา  มาชวนทำกิจกรรมแต่งหน้าคัปเค้กในธีมคริสต์มาส ในวันอังคารที่ 21 ธันวาคม 2564 เวลา 15.00-16.00 น. เก็ต-สรวุฒิ อรุณวัฒนานันท์ และ ต้นน้ำ-เปี่ยมชล ดำรงสุนทรชัย มาชวนทำกิจกรรม DIY แต่งหน้าคุกกี้รอยัลไอซิงเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ และแนะนำร้านอร่อยพร้อมวิธีการสั่งสินค้าและแจกของรางวัลมากมาย ในวันอังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2564 เวลา 15.00-16.30 น. 

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม Chef Show ที่จะมาไลฟ์พูดคุยพร้อมโชว์ฝีมือการทำเมนูอาหารที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน อาทิ เชฟแก้ว-ปวีณ์นุช ยอดปรีชาวิจิตร แชมป์จากรายการ MasterChef Thailand Season 1 ในวันอังคารที่ 21 ธันวาคม 2564 เวลา 14.00-14.30 น. เชฟลี่-พรชนัน พัฒนาปัญญาสัตย์ แชมป์จากรายการ MasterChef Thailand Season 4 ในวันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม 2565 เวลา 14.00-14.30 น. และเชฟจิรันต์ พงษ์ดำบรรณ์ เชฟใหญ่จากร้านแซ่บอินดี้และผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร ในวันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม 2565 เวลา 15.00-17.00 น.

ผู้ที่สนใจสามารถชอปออนไลน์ได้ในโปรโมชันสุดพิเศษในช่วงส่งท้ายปี ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ในเครือของนิตยสาร Gourmet & Cuisine ได้แก่ Facebook, Instagram และ Line@ โดยสามารถสั่งซื้อผ่านแอปพลิเคชัน Food Delivery ยอดนิยม ได้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2564 - 9 มกราคม 2565  

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ FB : gourmetandcuisine / www.gourmetandcuisine.com / IG: gourmetandcuisine   #GourmetFoodieFestOnlineMarket2021 #gourmetandcuisine

Share:

เริ่มแล้ว !!! Virtual Event รูปแบบใหม่ ยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี “Thailand Halal Assembly 2021” วิถีเสมือนจริงสู่โลกฮาลาลที่แท้จริง ชูวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮาลาลไทยยกระดับเศรษฐกิจไทยสู่เวทีโลก

เริ่มงานแล้ว !! อย่างตื่นตาตื่นใจกว่าเดิมกับ Virtual Event รูปแบบใหม่ ยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี เพื่อนำท่านมุ่งสู่อนาคตของวงการฮาลาล กับงานฮาลาลที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในโลก “Thailand Halal Assembly 2021 : A VIRTUAL WAY FOR ACTUAL HALAL WORLD” หรือ “งานประชุมวิชาการนานาชาติและแสดงสินค้าฮาลาล ปีที่ 8” ภายใต้แนวคิด วิถีเสมือนจริงสู่โลกฮาลาลที่แท้จริง ระหว่างวันที่ 14 - 15 ธันวาคม 2564 ในรูปแบบออนไลน์เสมือนจริง โดยผู้สนใจเข้าชมงานได้ทั้งวันงานและย้อนหลังงานที่ https://virtualthailandhalalassembly.com/ คาดหวังสร้างความก้าวหน้ากิจการฮาลาลไทย พร้อมชูวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านฮาลาลของไทย ช่วยยกระดับรายได้คนไทยและเศรษฐกิจไทยสู่เวทีโลก และพิเศษรวมพัฒนา Plant-based foods ให้เป็นฮาลาล 100%
รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการ ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประธานจัดงาน Thailand Halal Assembly 2021
กล่าวว่า ตลาดมุสลิมมีความสำคัญมากขึ้น จากปัจจัยด้านจำนวนประชากรและศักยภาพทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศมุสลิม โดยปัจจุบันมีชาวมุสลิมทั่วโลกประมาณ 2 พันล้านคน จากประชากรรวม 7.8 พันล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 29% จากประชากรทั่วโลก และคาดว่าในปี 2593 จะมีชาวมุสลิมจำนวน 2.8 พันล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 29.67% ของประชากรโลกทั้งหมด และปัจจุบันมูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์ฮาลาลและอาหารฮาลาลในแต่ละปีมีมากกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นประมาณ 13 ล้านล้านบาท สำหรับประเทศไทยมีมูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์ฮาลาลและอาหารฮาลาล อยู่ที่ 400,000 ล้านบาท ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 มูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์ฮาลาลและอาหารฮาลาล เติบโตกว่า 10% ตามความต้องการอาหารและผลิตภัณฑ์ฮาลาลที่มีสูงขึ้น
ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ศวฮ.) ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย สถาบันมาตรฐานฮาลาลแห่งประเทศไทย และสถาบันมาตรฐานและมาตรวิทยาของประเทศอิสลาม หรือ Standard and Metrology Institute of Islamic Counties (SMIIC) จัดงานฮาลาลขึ้นเป็นปีที่ 8 ในชื่องาน  “Thailand Halal Assembly 2021 : A VIRTUAL WAY FOR ACTUAL HALAL WORLD” หรือ “งานประชุมวิชาการนานาชาติและแสดงสินค้าฮาลาล ปีที่ 8” ภายใต้แนวคิด วิถีเสมือนจริงสู่โลกฮาลาลที่แท้จริง ระหว่างวันที่ 14 - 15 ธันวาคม 2564 ในรูปแบบออนไลน์เสมือนจริง ได้ที่ https://virtualthailandhalalassembly.com/ เพื่อสนับสนุนมาตรการของรัฐบาลในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 
การจัดงาน Thailand Halal Assembly 2021
ครั้งนี้ เป็นงาน Virtual Event รูปแบบใหม่ ยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี และยังยิ่งใหญ่กว่าปีที่ผ่านมา โดยแบ่งออกเป็น 4 หัวข้อหลัก ได้แก่
• IHSATEC 2021 : งานประชุมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮาลาลในปี 2021 พูดคุยกับ Speaker ชั้นนำ ในหัวข้อที่น่าสนใจหลากหลาย Session
• 14th HASIB : ร่วมฟังทิศทางของอุตสาหกรรมและธุรกิจฮาลาลนานาชาติเข้าร่วมมากถึง 48 ประเทศ
• IHSACC2021 : ประชุมสัมมนามาตรฐานและการตรวจรับรองฮาลาลระดับโลก
• TIHEX2021 : โชว์แสดงสินค้าฮาลาลนานาชาติ 2021 กว่า 100 รายการ

การประชุมวิชาการนานาชาติด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮาลาล (The International Halal Science and Technology Conference (IHSATEC) 2021)
และการประชุมวิชาการนานาชาติด้านวิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรมและธุรกิจฮาลาล (The 14th Halal Science Industry and Business (HASIB)) และครั้งนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 14 ในรูปแบบออนไลน์  เพื่อเผยแพร่ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ นวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮาลาล เพื่อให้ “วิทยาศาสตร์ฮาลาล” เป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์มุสลิม และมิใช่มุสลิม นำพาไปสู่การพัฒนางานด้านวิทยาศาสตร์ฮาลาลต่อไป รวมถึงการนำเสนอผลงานวิชาการและวิจัย จาก 7 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย ไนจีเรีย ฟิลิปปินส์ ปากีสถาน และประเทศไทย ซึ่งเราได้คัดสรรผลงานที่ดีและมีประโยชน์มาเพิ่มความรู้ให้กับผู้ร่วมงานอย่างอัดแน่น และสำหรับการประชุม The  International Halal Standard and Certification Convention (IHSACC2021) ภายใต้แนวความคิด “Challenges and Opportunities of Halal Standards and Conformity Assessment Activities after COVID-19: The Next Normal” ได้เชิญกูรูผู้เชี่ยวชาญชั้นนำกว่า 16 ท่าน มาแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ต่างๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะ “ทิศทางสู่อนาคต ของอุตสาหกรรมและธุรกิจฮาลาล” ซึ่งคาดกว่าจะมีนานาชาติเข้าร่วมฟังมากถึง 48 ประเทศ และสำหรับนักช้อป ห้ามพลาดในการจัดแสดงสินค้าฮาลาลออนไลน์ (The Virtual Thailand International Halal Expo 2021, TIHEX2021) กว่า 200 ผู้ประกอบการ ที่มีผลิตภัณฑ์สินค้าฮาลาลนานาชาติ ให้นักช้อปได้เลือกสรรกว่า 100 รายการ ทั้ง อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เครื่องสำอาง เสื้อผ้าและแฟชั่น สถาบันการเงินอิสลาม การท่องเที่ยวที่เป็นมิตรของชาวมุสลิม เป็นต้น ซึ่งผู้ร่วมงานจะได้เลือกซื้อสินค้า สร้างเครือข่าย และการจับคู่ธุรกิจได้อย่างอิสระ

ไฮไลท์ !!! ในปีนี้กับเรื่อง “Plant-based foods”
หรืออาหารในกลุ่มโปรตีนทางเลือก ซึ่งใช้วัตถุดิบที่ทำจากพืชที่ให้โปรตีนสูง เช่น พืช ผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่ว เห็ด สาหร่าย เป็นต้น แต่ดัดแปรและพัฒนารสชาติ กลิ่น สีสัน หน้าตาให้เหมือนผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ซึ่งปัจจุบัน Plant-based foods เป็นธุรกิจที่เป็นที่น่าจำตามองมียอดจำหน่ายทั่วโลกถึง 166 ล้านเหรียญ เติบโตกว่า 10 - 20% ในทุกๆ ปี แต่คนทั่วไปมีความเข้าใจว่าผลิตภัณฑ์ Plant-based foods ซึ่งมาจากพืชนั้นเป็นฮาลาล แต่จริงๆ แล้ววัตถุดิบ (ingredient) แต่งกลิ่น สี รส ต่างๆ ซึ่งทาง ศวฮ.ได้ตรวจสอบจากห้องปฏิบัติการแล้ว พบว่ากว่า 186 ตัวไม่เป็นฮาลาล ซึ่งในการจัดงานครั้งนี้เราจะร่วมสร้างความเข้าใจกับผู้ประกอบการ Plant-based foods และหันมาให้ความสนใจในการผลิต Plant-based foods ให้เป็นฮาลาล 100% 

และในพิธีเปิดงาน Thailand Halal Assembly 2021
ได้รับเกียรติจาก นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ร่วมปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ: การปฏิรูปยุทธศาสตร์ฮาลาลประเทศไทย เพื่อปลดล็อคโอกาสการเพิ่มมูลค่าสินค้าและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร” ซึ่งมีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมชมงานในช่วงพิธีเปิดงาน กว่า 15,000 คน และคาดว่าตลอดการจัดงานจะมีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมชมงานไม่น้อยกว่า 50,000 คน โดยหลังจากการจัดงานครั้งนี้เราหวังสร้างความก้าวหน้ากิจการฮาลาลไทยให้สูงยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะได้นำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านฮาลาลไปพัฒนาธุรกิจ อาทิ ผู้ประกอบการ Plant-based foods ที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นฮาลาล 100% หรือ ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ” (Startup) ในการใช้ฮาลาลเป็นการพัฒนายกระดับเติบโตสู่ระดับยูนิคอร์น หรือ SMEs ที่กำลังจะล้มจากสถานการณ์ของโควิด-19 จะสามารถใช้วิทยาศาสตร์ฮาลาลช่วยเหลือได้อย่างไร ซึ่งทั้งหมดนี้เพื่อยกระดับรายได้คนไทยและผลักดันเศรษฐกิจไทยสู่ประเทศพัฒนาแล้วให้ได้ตามที่รัฐบาลคาดหวัง และสำหรับผู้สนใจเข้าชมงาน หรือเข้าชมงานย้อนหลัง ได้ที่ https://virtualthailandhalalassembly.com/  หรือสอบถามข้อมูล หรือติดตามข่าวสารต่างๆ ได้ที่ 02-218-1053 ต่อ 224 และ www.Thailandhalalassembly.com , Facebook : Thailand Halal Assembly รศ.ดร.วินัย กล่าวปิดท้าย

Share:

Recent Posts

ค้นหาบล็อกนี้

Contact Us ::

📲 (+66) 081 4345154
✉️ Insightoutstory@gmail.com

Add Line📲 Click 👇👇

Translate

🚉 ช.ส.ท.พาเที่ยว นครฯ

Review By Nichapa

POPULAR NEWS

Fanpage Facebook

ป้ายกำกับ

คลังบทความของบล็อก