พาณิชย์ “ชวนตะลอนตลาดต้องชม ตะลุยความสุขช่วงเทศกาลปีใหม่”

 

ระหว่างวันที่ 24 ธ.ค. 66 - 7 ม.ค. 2567 “ตลาดต้องชม 121 แห่ง จาก 74 จังหวัดทั่วประเทศ” พร้อมแจกคูปองชวนช้อป 50 บาท จาก DIT GO สำหรับผู้ที่เช็คอินตลาดต้องชมทั่วประเทศกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม พาณิชย์ชวนเที่ยวตลาดต้องชมทั่วประเทศ ภายใต้ชื่องาน “ชวนตะลอนตลาดต้องชม ตะลุยความสุขช่วงเทศกาลปีใหม่” โดยมี นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วย นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์ นายกรนิจ โนนจุ้ย รองอธิบดีกรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์ และนายชวน 

ชูจันทร์ ประธานประชาคมตลาดน้ำคลองลัดมะยม ให้การต้อนรับพร้อมพาเที่ยว “ตลาดน้ำคลองลัดมะยม” เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร หนึ่งในตลาดต้องชม จาก 121 แห่ง ทั่วประเทศ และเยี่ยมชมโซนสินค้า "ธงฟ้า ราคาประหยัด" ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส พร้อมมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวร่วมถ่ายภาพ ณ จุด Landmark เช็คอินพร้อมแชร์ผ่านช่องทางสื่อโซเซียลมีเดีย เพื่อรับคูปองชวนช้อป 50 บาททันที จาก DIT GO เมื่อมาเที่ยวตลาดต้องชมทั่วประเทศ มอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน เพื่อกระตุ้นการบริโภค เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส ให้กับชุมชนให้มากที่สุดในช่วงเทศกาลปีใหม่ นอกจากนี้ภายในงานมีนักแสดงชื่อดัง ปิงปอง – ธงชัย ทองกันทม ร่วมเชิญชวนเดินเที่ยวชม ช้อป ชิม สินค้าตลาดต้องชม “ตลาดน้ำคลองลัดมะยม” แวะเยี่ยมชมสินค้าภายในตลาดต้องชมโดยมอบของที่ระลึก และรอยยิ้มแห่งความสุข ด้วยอมยิ้มระหว่างเยี่ยมชม แวะชิมไอศกรีมโบราณ แวะชมสาธิตขนมถั่วแปบ ขนมเบื้องไทย ถั่วทอด และข้าวเกรียบว่าว เพ้นท์หัวโขน ชมหนังตลุงปักษ์ใต้ แห่งเดียวในกรุงเทพมหานคร อีกทั้งชมการแสดงรำอวยพรจากเด็กนักเรียนในชุมชน (โรงเรียนวัดสโมสร) พร้อมอวยพรปีใหม่ให้แก่เด็กและประชาชนที่มาเที่ยวตลาดฯ ในวันนี้

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า รัฐบาลได้มีนโยบายส่งเสริมการดำเนินการด้านการตลาดภายในประเทศ โดยตั้งเป้าให้มีตลาดชุมชนเกิดขึ้นในทุกมุมเมือง เพื่อเป็นสถานที่จำหน่ายสินค้าโดยตรงแก่ประชาชน กรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์จึงได้ดำเนินโครงการตลาดชุมชนเพื่อธุรกิจท้องถิ่นขึ้น ภายใต้ชื่อ “ตลาดต้องชม” ดำเนินการพัฒนาหรือยกระดับตลาดที่จำหน่ายสินค้าเกษตร หัตถกรรม งานศิลปะ สินค้า OTOPs และสินค้าอุปโภคบริโภคของชุมชนที่ผลิตโดยเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน SMEs และคนในชุมชนหรือพื้นที่ใกล้เคียง และส่งเสริมเป็น “ตลาดต้องชม” ที่มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม มีการจำหน่ายสินค้าที่มีความเที่ยงตรง เที่ยงธรรม โปร่งใส มีการปิดป้ายแสดงราคา เครื่องชั่งเที่ยงตรง และจำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพดี ตามเอกลักษณ์พาณิชย์ ควบคู่ไปกับการรักษาศิลปวัฒนธรรมตามอัตลักษณ์วิถีของชุมชน 

โดย “ตลาดต้องชม” นี้ จะเป็นช่องทางหนึ่งในการเพิ่มรายได้ ขยายโอกาสให้กับชุมชน เป็นสถานที่ที่ไม่ว่าจะเป็นคนในท้องถิ่นหรือผู้มาเยือนจากต่างถิ่น ต่างต้องแวะชม แวะเวียนเข้ามาจับจ่ายใช้สอย สัมผัสกับวัฒนธรรมท้องถิ่น ศิลปะ วิถีชีวิต อัตลักษณ์และความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งล้วนแล้วเป็นอำนาจแห่งการสรรค์สร้างเศรษฐกิจชุมชน หรือ ซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ที่กระจายไปทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการดำเนินงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อให้เศรษฐกิจท้องถิ่นมีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน โดยประชาชนสามารถ เที่ยวชม ช้อป ชิม สินค้าในตลาดต้องชมได้ ในงาน “ชวนตะลอนตลาดต้องชม ตะลุยความสุขช่วงเทศกาลปีใหม่” ระหว่างวันที่ 24 ธ.ค. 66 - 7 ม.ค. 2567 “ตลาดต้องชม 121 แห่ง จาก 74 จังหวัดทั่วประเทศ” ดังนี้
ภาคกลาง 25 จังหวัด 52 ตลาด  

1.จังหวัดกรุงเทพมหานคร ได้แก่ 1) ร้านค้าชุมชนริมคลองพระยาสุเรนทร์ 2) ตลาดน้าสองคลองวัดตลิ่งชัน 3) ตลาดคลองบางหลวง 4) ตลาดพลู 5) ตลาดน้ำคลองลัดมะยม 6) ตลาดน้ำวัดสะพาน และ 7) ตลาดน้ำขวัญ – เรียม

2.จังหวัดชัยนาท ได้แก่ 1) ตลาดเจ้าพระยาแลนด์ 2) ตลาดน้ำวัดคลองจันทน์ 

3.จังหวัดนครนายก ได้แก่ 1) ตลาดวัดหลวงพ่อปากแดง 2) ตลาดชุมชนวัดมณีวงศ์ 

4.จังหวัดนครปฐม ได้แก่ 1)ตลาดน้ำลำพญา 2)ตลาดบางหลวง ร.ศ.122 3) ตลาดน้ำทุ่งบัวแดง 4) ตลาดน้ำคลองมหาสวัสดิ์ (บ้านศาลาดิน) 5) ตลาดน้ำดอนหวาย 

5.จังหวัดนนทบุรี ได้แก่ 1) ตลาดน้ำไทรน้อย 2) ตลาดน้ำวัดตะเคียน 3) ตลาดน้ำวัดใหญ่สว่างอารมณ์ 

6.จังหวัดปทุมธานี ได้แก่ 1) ตลาดชุมชนวัดโบสถ์ 2) ตลาดอิงน้ำสามโคก

7.จังหวัดพระนครศรีฯ ได้แก่ 1) ตลาดโก้งโค้งบ้านแสงโสม 2) ตลาดหลวงปู่ทวด 

8.จังหวัดลพบุรี ได้แก่ ตลาดปลาชัยบาดาล

9.จังหวัดสมุทรปราการ ได้แก่ 1) ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง 2) ตลาดโบราณบางพลี

10.จังหวัดสมุทรสงคราม ได้แก่ 1) ตลาดวัฒนธรรมตำบลสวนหลวง 2) ตลาดน้ำบางน้อย 3) ตลาดน้ำท่าคา

11.จังหวัดสมุทรสาคร ได้แก่ 1) ตลาดน้ำหนองพะอง 2) ตลาดริมคลองพ่อพันท้ายนรสิงห์ 

12.จังหวัดสิงห์บุรี ได้แก่ 1) ตลาดวัดพระนอนจักรสีห์ 2) ตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน 3) ตลาดชุมชนบ้านพิกุลทอง

13.จังหวัดสุพรรณบุรี ได้แก่ 1) ตลาดวัดป่าเลไลยก์ 2) ตลาดวัดไผ่โรงวัว

14.จังหวัดสระบุรี ได้แก่ 1) ตลาดต้าน้ำโบราณบ้านต้นตาล 2) ตลาดหัวปลี

15.จังหวัดอ่างทอง ได้แก่ 1) ตลาดศาลเจ้าโรงทอง

16.จังหวัดจันทบุรี ได้แก่ ตลาดชุมชนขนมแปลก ริมคลองหนองบัว

17.จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้แก่ 1) ตลาดน้ำบางคล้า 2) ตลาดบ้านใหม่ 100 ปี

18.จังหวัดชลบุรี ได้แก่ 1) ตลาดประมงท่าเรือพลี 2) ตลาดน้ำ 3 วัง

19.จังหวัดตราด ได้แก่ ตลาดเทศบาลคลองใหญ่

20.จังหวัดปราจีนบุรี ได้แก่ ตลาดน้ำวัดใหม่กรงทอง

21.จังหวัดระยอง ได้แก่ ถนนคนเดินชุมชนปากคลองเพ

22.จังหวัดกาญจนบุรี ได้แก่ 1) ถนนคนเดินปากแพรก 2) กาดวิถีชุมชนคูบัว

23.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้แก่ ถนนคนเดินสายวัฒนธรรมสู้ศึก

24.จังหวัดราชบุรี ได้แก่ กาดวิถีชุมชนคูบัว

25.จังหวัดเพชรบุรี ได้แก่ ถนนมีชีวิต พานิชเจริญ 

ภาคเหนือ 17 จังหวัด 29 ตลาด 

1.จังหวัดกำแพงเพชร ได้แก่ ตลาดย้อนยุคนครชุม 

2.จังหวัดเชียงราย ได้แก่ กาดกองแก้ว(ถนนสายวัฒนธรรมย่านเก่าเล่าเมือง)

3.จังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ 1) กาดชุมชนโหล่งฮิมคาว (กาดต่อยอน,กาดฉำฉา,ร้านค้าชุมชน) 2)กาดบะป๊าว เชียงใหม่

4.จังหวัดน่าน ได้แก่ 1) กาดข่วงเมืองน่าน 2) ถนนคนเมืองมิ่งเมืองดีเบส 3) กาดวัฒนธรรมข่วงเมืองสา 4) กาดแลงเมืองปัว มาม๋วนใจ๋ 5) ร้านค้าชุมชนวัดพระธาตุแช่แห้ง 6) ตลาดน้ำ 4,000 ปี

5.จังหวัดนครสวรรค์ ได้แก่ ตลาดท่าเรือคลองคาง 

6.จังหวัดพิจิตร ได้แก่ ถนนคนเดินบางขี้นาก

7.จังหวัดพิษณุโลก ได้แก่ 1) ตลาดวิถีชุมชน ฅนพิษณุโลก 2) ตลาดบ้านใหม่ 100 ปี 

8.จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้แก่ ตลาดถนนคนเดินไทหล่ม

9.จังหวัดพะเยา ได้แก่ 1) ตลาดบ้านบัว 2) ถนนคนเดินฮิมกว๊านพะเยา

10.จังหวัดแพร่ ได้แก่ 1) ตลาดลานค้าชุมชนพระธาตุช่อแฮ 2) กาดเมกฮิมคือ

11.จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้แก่ ตลาดชุมชนบ้านโป่ง

12.จังหวัดลำปาง ได้แก่ 1) ตลาดศาลเจ้าพ่อประตูผา 2) กาดกองต้า

13.จังหวัดลำพูน ได้แก่ ตลาดหัตถกรรมผ้าฝ้ายทอมือบ้านดอนหลวง 

14.จังหวัดสุโขทัย ได้แก่ 1. ถนนคนเดินเมืองสุโขทัยธานี 2.ตลาดท่าน้ำรับเสด็จ

15.จังหวัดตาก ได้แก่ กาดนั่งยองคล้องย่าม

16.จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้แก่ 1) ตลาดถนนวันวานเมืองลับแล 2) ถนนสายวัฒนธรรม ตำบลหาดสองแคว

17.จังหวัดอุทัยธานี ได้แก่ 1) ถนนคนเดินตรอกโรงยา

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 19 จังหวัด 23 ตลาด 

1.จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้แก่ ถนนคนเดินกาฬสินธุ์ โปงลางสตรีท

2.จังหวัดขอนแก่น ได้แก่ 1) ตลาดต้นตาล 2) ตลาดสีเขียวขอนแก่น (Green Market) 

3.จังหวัดชัยภูมิ ได้แก่ 1) ตลาดฅนพรม

4.จังหวัดนครพนม ได้แก่ ตลาดศูนย์วัฒนธรรมพระธาตุเรณูนคร   

5.จังหวัดนครราชสีมา ได้แก่ ตลาดไนท์บาซ่าร์พิมาย

6.จังหวัดบึงกาฬ ได้แก่ ถนนข้าวเม่าริมโขง ณ บึงกาฬ

7.จังหวัดบุรีรัมย์ ได้แก่ 1) ถนนคนเดินเซราะกราว 2) ถนนคนเดิน ถมหมืด ถมมอ

8.จังหวัดมหาสารคาม ได้แก่ ตลาดพันปีจัมปาศรีนคร

9.จังหวัดมุกดาหาร ได้แก่ ตลาดอุทยานแห่งชาติภูผาเทิบ

10.จังหวัดยโสธร ได้แก่ ตลาดถนนคนเดินยโสธร

11.จังหวัดร้อยเอ็ด ได้แก่ ถนนคนเดินสาเกตนคร

12.จังหวัดเลย ได้แก่ ตลาดถนนคนเดินวิถีเชียงคานบ้านไม้เก่าริมโขง

13.จังหวัดสกลนคร ได้แก่ 1) ตลาดพญาเต่างอย 2) ตลาดย่านเมืองเก่าสกล ถนนผ้าคราม 

14.จังหวัดสุรินทร์ ได้แก่ 1) ตลาดน้ำราชมงคลสุรินทร์ 2) ตลาดผ้าไหมบ้านท่าสว่าง

15.จังหวัดศรีสะเกษ ได้แก่ ตลาดวัดไพรพัฒนา ตลาดอาเซียน 

16.จังหวัดหนองคาย ได้แก่ ตลาดแคมของหนองคาย 

17.จังหวัดหนองบัวลำภู ได้แก่ ตลาดห้วยเดื่อ

18.จังหวัดอุดรธานี ได้แก่ ตลาดผ้าบ้านนาข่า

19.จังหวัดอุบลราชธานี ได้แก่ ตลาดถนนคนเดินเขมราษฎร์ธานี

ภาคใต้ 13 จังหวัด 17 ตลาด 

1.จังหวัดกระบี่ ได้แก่ ถนนคนเดินกระบี่ 

2.จังหวัดชุมพร ได้แก่ 1) ตลาดพ่อตาหินช้าง 2) ริมน้ำวัดเนินทอง

3.จังหวัดตรัง ได้แก่ 1) ตลาดนาปด 2) ถนนคนเดินกันตัง

4.จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แก่ ตลาดนาวง

5.จังหวัดนราธิวาส ได้แก่ ตลาดยะกัง ขนม 100 ปี

6.จังหวัดปัตตานี ได้แก่ ตลาดอาหารทะเลแหลมนก

7.จังหวัดพังงา ได้แก่ ถนนวัฒนธรรมเมืองเก่าตะกั่วป่า 

8.จังหวัดพัทลุง ได้แก่ หลาดใต้โหนด

9.จังหวัดภูเก็ต ได้แก่ 1) ตลาดนัดวัดเทพ 2) ถนนคนเดิน หลาดใหญ่

10.จังหวัดระนอง ได้แก่ ตลาดเทศบาลตำบลหงาว

11.จังหวัดสงขลา ได้แก่ 1) ตลาดริมน้ำคลองแดน 2) หลาดริมเล @ เกาะยอ 

12.จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้แก่ ตลาดน้ำบ้านดอน

13.จังหวัดยะลา ได้แก่ ตลาดนัดชุมชนบ้านคลองทรายใน

โดยตลาดต้องชมทั่วประเทศมีที่ตั้งอยู่ติดวัด ซึ่งประชาชนที่มาเที่ยวชม ช้อป ชิม สินค้าในตลาดต้องชม สามารถไหว้พระขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลในช่วงเทศกาลปีใหม่อีกด้วย

แผนที่ตลาดต้องชม 121 แห่ง จาก 74 จังหวัดทั่วประเทศ 

https://goo.gl/maps/GsDtJHv72KMFBaHw7 

ติดตามข่าวสารและกิจกรรมดีๆ จาก กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์  

ได้ที่ช่องทางออนไลน์: https://www.facebook.com/ditfamilyhomes 

หรือติดต่อกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์  

  • 563 ถนนนนทบุรี ตำบลบางกระสออำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี  11000
  • โทรศัพท์ : 0 2507 5530 , สายด่วน 1569

Share:

เปิดตัว ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเครื่องดื่มผลไม้สกัดเข้มข้น แบรนด์ VTAL (วีทัล) ตัวช่วยป้องกันคนไทยห่างไกลจากโรคหลอดเลือด ตีบ ตัน แตก

กรุงเทพ: ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร VTAL (วีทัล) เครื่องดื่มผลไม้สกัดเข้มข้น หวังช่วยคนไทยห่างไกลจากโรค NCDs ที่เป็นภัยเงียบทำลายชีวิตผู้คนที่มีภาวะ Stroke เหตุปัญหาหลอดเลือด ตีบ ตัน แตก กลายเป็นอัมพฤกษ์ จำนวนมากขึ้นในสังคมที่ผู้คนทำงานหนักและมีสภาวะเครียดมากยิ่งกว่าเดิม ด้วยคุณสมบัติโดดเด่นเป็นเครื่องดื่มจากผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ผสานกับผลไม้โซนเอเชีย อย่าง ผลฟักข้าว ลูกหม่อน เจียวกู้หลาน ซึ่งมีสารออกฤทธิ์ช่วยเรื่องหลอดเลือดให้ยืดหยุ่น ไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้สะดวก พร้อมร่วมเซ็นสัญญากับบริษัท นิคเอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ที่ปรึกษาธุรกิจออนไลน์ กับบริษัท คัมปรา โฮลดิ้ง จำกัด เพื่อรวมสร้างแบรนด์ เครื่องดื่ม VTAL (วีทัล) สู่มือผู้บริโภค ผ่านตลาดออนไลน์ครบทุกแฟลตฟอร์ม เปิดตัวภาพยนต์โฆษณา VTAL & New VTAL Version สร้างการรับรู้เรื่องภัยเงียบ หวังเป็นส่วนหนึ่งช่วยคนไทยจากปัญหา หลอดเลือด ตีบ ตัน แตก คาดปีหน้ากวาดยอดขายได้ 200-300 ล้านบาท เติบโต 20% ทุก 6 เดือน

นายพงษ์ชัยวัฒน์ สอนสุภาพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิคเอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ที่ปรึกษาธุรกิจออนไลน์และเป็นหนึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการทำตลาดออนไลน์ เปิดเผยถึง การเข้าร่วมเซ็นสัญญากับบริษัท คัมปรา โฮลดิ้ง จำกัด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันสร้างแบรนด์ VTAL (วีทัล) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเครื่องดื่มผลไม้สกัดเข้มข้น ของอาจารย์หมอ นายแพทย์ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ ผู้พัฒนาและคิดค้น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเครื่องดื่มผลไม้สกัดเข้มข้น ภายใต้แบรนด์   "VTAL (วีทัล)" ให้สามารถกระจายออกไปสู่มือผู้บริโภคให้ได้รับการดูแล ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะหลอดเลือดในสมองตีบ ตัน แตก มากที่สุด 

สำหรับแผนการตลาดที่เป็นกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อน VTAL (วีทัล) เครื่องดื่มผลไม้สกัดเข้มข้น คือ การใช้ช่องทางผ่านสื่อออนไลน์เป็นหลัก ซึ่งประกอบด้วยทีมงานการตลาดออนไลน์ จำนวน 6 ทีม โดยแต่ละทีมจะมีความชำนาญในแต่ละแฟลตฟอร์มที่แตกต่างกัน เพื่อให้เกิดการรุกตลาดออนไลน์อย่างครบวงจรแบบครั้งยิ่งใหญ่ อาทิ Facebook, TikTok, Shopee,  Lazada, Instagram เป็นต้น ส่วนสาเหตุที่ต้องรุกตลาดออนไลน์เป็นหลัก เพราะเป็นช่องทางที่มีศักยภาพอย่างสูงที่จะสามารถสื่อสารเรื่องราวในทุก ๆ รายละเอียดของ VTAL (วีทัล) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเครื่องดื่มผลไม้สกัดเข้มข้น ได้มากกว่า ในยุคที่มีการแข่งขันสูงมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจำนวนมาก ออกมาจำหน่ายช่วงชิงกำลังการซื้อของผู้บริโภคทั้งในโลกออฟไลน์ และโลกออนไลน์

ดังนั้น VTAL (วีทัล) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเครื่องดื่มผลไม้สกัดเข้มข้น เป็นสินค้าสุขภาพที่เป็นแบรนด์น้องใหม่ การจะสร้างความจดจำของแบรนด์ให้สามารถเข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภคได้ จึงต้องรุกเข้าผ่านตลาดออนไลน์เฉพาะ เนื่องจากเป็นสินค้าเชิงสุขภาพที่เน้นช่วยและป้องกันภาวะหลอดเลือดในสมองตีบ ตัน แตก จึงต้องอาศัยเรื่องราวการสื่อสารเชิงการอธิบายข้อมูลเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์ และการให้ความรู้ คำแนะนำปรึกษาเฉพาะรายบุคคล เนื่องจากผู้บริโภคแต่ละกลุ่มอาจมีภาวะความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแตกต่างกัน 

ดังนั้น เรื่องราวที่จะใช้สื่อสารไปถึงผู้บริโภคที่บริษัทจะเน้นในช่วงเบื้องต้นคือ การป้องกันภาวะหลอดเลือดในสมองตีบ ตัน แตก  เสียก่อน เพื่อสร้างความรู้ให้ผู้บริโภคเข้าใจไปในทิศทางเดียวกันในช่วง 3-4 เดือนแรกก่อน จากนั้นจะค่อย ๆ เพิ่มเรื่องราวการสื่อสารถึงสรรพคุณอื่น ๆ ที่ผู้บริโภคจะได้รับผ่านการดื่ม VTAL (วีทัล) อื่นๆ  เช่น ช่วยเรื่องการนอนหลับ   ไมเกรน เบาหวาน  โรคความดันโลหิต เป็นต้น 

จึงเป็นที่มาของแนวคิดสำหรับภาพยนต์โฆษณา VTAL & New VTAL Version ที่จะเป็นเรื่องราวของการสร้างความตระหนักรับรู้ถึงภัยเงียบที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยจะมุ่งเป้าหมายไปยัง 4 กลุ่มคนนี้ เป็นหลัก คือ 1.ผู้ที่มีปัญหาเรื่องภาวะหลอดเลือดในสมองตีบ ตัน แตก 2.กลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งปัจุบันมีสภาวะความเครียดจากการทำงานหนักมากกว่าคนรุ่นก่อน 3.กลุ่มคนที่มีปัจจัยความเสี่ยงจะเกิดโรคภาวะหลอดเลือดในสมองตีบ ตัน แตก และ 4. กลุ่มคนปกติ ที่ต้องการหันมาดูแลรักษาสุขภาพ ตนเองมากขึ้น เพื่อเป็นการตอกย้ำ Positioning สินค้าตัวนี้ว่ามีจุดยืนที่แตกต่างจากสินค้าอื่น ๆ อย่างไร เพื่อให้ทั้ง 4 กลุ่มลูกค้าที่เป็นเป้าหมายหลักมั่นใจในสรรพคุณของสินค้าดังกล่าว 

ขณะเดียวกัน บริษัทจะมีทีมงานที่คอยให้บริการติดตามผลหลังการซื้อทานของลูกค้าทั้ง 4 กลุ่ม อย่างเป็นประจำต่อเนื่อง ว่าเป็นอย่างไร เพราะหัวใจของการทำตลาดออนไลน์สำหรับสินค้าแนวสุขภาพ ที่ลูกค้าต้องการมากที่สุด คือการบริการหลังการขายในเรื่องของการติดตามผลอย่างใกล้ชิด การให้คำปรึกษา ที่บริษัทจะมีการเปิดกลุ่มเฉพาะในช่องทาง Facebook ที่มีชื่อว่า VTAL Community เพื่อให้เป็นชุมชนของคนที่เป็นลูกค้าของ VTAL (วีทัล) ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงสุขภาพ และการรีวิวหลังการรับประทาน ว่าก่อนและหลัง เป็นอย่างไร  

นอกจากนี้บริษัทมีแผนจะใช้ Brand Ambassador ผู้ที่มีชื่อเสียง หรือ Influencers ที่ได้ลองใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มาช่วยแชร์และแบ่งปันประสบการณ์ก่อนและหลังการใช้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคทั้ง 4 กลุ่ม ที่กำลังมองหาเครื่องดื่มแนวสุขภาพที่ช่วยเรื่องการป้องกันภาวะหลอดเลือดในสมองตีบ ตัน แตก อย่างแท้จริง โดย ในปีหน้า 2567 ผลิตภัณฑ์ VTAL (วีทัล) เครื่องดื่มผลไม้สกัดเข้มข้น คาดว่าจะมียอดขาย 200-300 ล้านบาท และตั้งเป้าการเติบโต อยู่ที่ 20% ของทุก 6 เดือน นายพงษ์ชัยวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติม

ด้าน นายแพทย์ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ ผู้พัฒนาและคิดค้น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเครื่องดื่มผลไม้สกัดเข้มข้น ภายใต้แบรนด์ " VTAL (วีทัล)" กล่าวเสริมว่า VTAL (วีทัล) เป็นเครื่องดื่มผลไม้สกัดเข้มข้น ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากแนวความคิดในฐานะที่ตนเองเป็นหมอ จึงอยากพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนช่วยป้องกันคนไทยห่างไกลจากโรค NCDs หรือผู้มีปัจจัยความเสี่ยงในการเกิด โรค NCDS ได้แก่ โรคเรื้อรังจากความเสื่อม เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเส้นเลือดสูง จนก่อให้เกิดการ Stroke จากปัญหาหลอดเลือด ตีบ ตัน แตก อัมพฤกษ์ เนื่องจากปัจจุบัน สภาพสังคมของกลุ่มคนวัยทำงาน ทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่พึ่งเรียนจบทำงาน และ กลุ่มวัยทำงานตั้งแต่อายุ 30-60 ปี มีความตึงเครียดมากขึ้น ประกอบกับชีวิตจับจ้องไปอยู่กับการเสพ Content ผ่านโทรศัพท์มือถือ จำนวนมาก ทำให้มีปัญหาเรื่องของการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ

จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลให้คนอายุน้อยในยุคปัจจุบันเป็นโรคที่เกิดการ Stroke จากปัญหาหลอดเลือด ตีบ ตัน แตก จนเป็น อัมพฤกษ์ มากขึ้น หรือ กลุ่มคนทำงานกลางคน ใช้ทั้งสมองและสายตาค่อนข้างหนัก ไม่ค่อยเขยื้อนตัว เพราะติดนั่งประชุมบ่อย ๆ เป็นประจำ ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย และกระทบไปถึงสภาพจิตใจทั้งกับผู้ป่วยและคนในครอบครัว ที่ต้องมารับมือกับสภาวะผู้ป่วยเมื่อเป็น Stroke จนเป็น อัมพฤกษ์ ขึ้นมา กว่าจะฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับมาเหมือนเดิมอย่างน้อยต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1-2 ปี 

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของพันธุกรรมคนในครอบครัว ซึ่งหมอเองก็เป็นคนหนึ่งที่มีความเสี่ยงในเรื่องนี้ จึงพยายามเสาะแสวงหาผลิตภัณฑ์ดี ๆ จากต่างประเทศมาทานตลอด จึงเป็นที่มาว่าทำไมถึงไม่คิดพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่จะมาช่วยเรื่อง Stroke จากปัญหาหลอดเลือด ตีบ ตัน แตก อย่างแท้จริง เนื่องจากตนเองเป็นหมอ ก็มีความรู้ว่าสารสกัดที่ได้มาผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น บลูเบอร์รี่, มัลเบอร์รี่,แบล็กเบอร์รี่ มีสารออกฤทธิ์ ที่เป็นประโยชน์มากมาย และเป็น Antioxidants

ช่วยเรื่องหลอดเลือด สาร Anthocyanin แอนโธไซยานิน ซึ่งจัดเป็นหนึ่งในสารอาหารที่มีคุณสมบัติทางการแพทย์มากมาย ในการช่วยต้านอนุมูลอิสระที่ดี ช่วย ให้เกิดความยืดหยุ่นของหลอดเลือดได้ดี และ ทำให้หลอดเลือดมีการขยายตัวเล็กน้อย ส่งผลให้เลือดสามารถไหลเวียนไปเลี้ยงที่สมองเพิ่มขึ้น 

ดังนั้น VTAL (วีทัล) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเครื่องดื่มผลไม้สกัดเข้มข้น ซึ่งนอกจากมีสารสกัดมาจากผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ในปริมาณเข้มข้นสูง แล้ว ยังมีสารสกัดจากพืชสมุนไพรไทยหลายชนิด เช่น ผลฟักข้าว ลูกหม่อน มะขามป้อม เจียวกู้หลาน จึงทำให้เป็นเครื่องดื่มผลไม้แนวใหม่ที่ผสมผสานระหว่างสารสกัดที่มาจากโลกตะวันตกและโลกตะวันออก สามารถนำมาช่วยป้องกันไม่ให้กลายเป็นผู้ป่วยด้านหลอดเลือดในสมองตีบ ตัน แตก ได้ รวมถึงช่วยผู้ป่วยที่กำลังพักฟื้นจากโรคหลอดเลือดในสมองตีบ ตัน แตกด้วย

สำหรับวิธีการรับประทาน ควรทานขนาด 15 - 30 มล. วันละ 1 ครั้ง เย็น หรือก่อนนอน ซึ่ง 1 ขวด มีปริมาณ 750 มล.ทานได้  25- 50 วัน เมื่อได้รับแล้วเปิดขวดแล้วควรแช่ตู้เย็น และทานให้หมดภายใน 1 เดือนครึ่ง

Share:

ไฮเออร์ จัดกิจกรรมสุดพิเศษ Haier Global Fans Festival ครั้งที่ 5 ชวนทุกคนมาร่วมสนุกฉลองเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี


ไฮเออร์ แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอันดับ 1 ของโลกติดต่อกัน 14 ปีช้อนเชิญชวนทุกคนร่วมสนุกกับกิจกรรม Haier Global Fans Festival ครั้งที่ 5 #InspiredHLife ฉลองเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปีไปพร้อมกัน ลุ้นรับของรางวัลมากมายจากไฮเออร์ โดยการร่วมสนุกกิจกรรมผ่านทาง Facebook และ TikTok ของ Haier Thailand โดยสามารถร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันที่ 18 – 29 ธันวาคม 2566 เวลา 23.59 น. และประกาศรางวัล 10 มกราคม 2567 เวลา 18.00 ทาง Facebook: Haier Thailand

โดยมีรายละเอียดข้อมูลกิจกรรมดังนี้

กติกาการร่วมสนุกบนช่องทาง Facebook

1) กดติดตาม Facebook: Haier Thailand

2) ถ่ายรูปคู่ของคุณกับสินค้าไฮเออร์ พร้อมทำมือสัญลักษณ์ H

3) โพสต์รูปลงบน Facebook ของตนเอง ตั้งค่าเป็นแบบสาธารณะ พร้อมบรรยายเรื่องราวความประทับใจที่คุณมีต่อสินค้าไฮเออร์

4) ติดแฮชแท็ก #InspiredHLife #HaierGlobalFansFestival #HaierThailand และแท็ก @HaierThailand

5) แปะหลักฐานการร่วมสนุกที่ใต้คอมเมนต์กิจกรรมนี้

6) คัดเลือกผู้โชคดีจากการบรรยายเรื่องราวความประทับใจที่คุณมีต่อสินค้าไฮเออร์ที่โดนใจกรรมการที่สุด และทำตามกติกาถูกต้องครบถ้วน

7) ของรางวัล Lotus’s Gift Card 300 บาท 20 รางวัล

8) ร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันที่ 18-29 ธ.ค. 2566 เวลา 23:59 น.

9) ประกาศผลผู้โชคดีวันที่ 10 ม.ค. 2567 เวลา 18:00 น. ทาง Facebook: Haier Thailand

10) ผู้โชคดีกรุณารายงานตัวภายในวันที่ 12 ม.ค. 2567 เวลา 18:00 น. ทาง Inbox Facebook: Haier Thailand มิเช่นนั้นจะถือว่าท่านสละสิทธิ์

11) บัญชีผู้ใช้งาน 1 บัญชี หรือ 1 ชื่อ-นามสกุล มีสิทธิ์ได้รับรางวัลตลอดระยะเวลากิจกรรมเพียง 1 รางวัลเท่านั้น

12) ของรางวัลไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินสด ส่วนลดหรือของรางวัลอื่นได้และไม่สามารถโอนสิทธิ์ให้แก่บุคคลอื่นในทุกกรณี

13) บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข กติกา ของรางวัล ขยาย ยึดหรือถอนกิจกรรมได้โดยดุลพินิจของบริษัทฯ แต่เพียงผู้เดียว โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

14) บริษัทฯ ไม่รับผิดชอบใด ๆ เกี่ยวกับคุณภาพของรางวัลความสูญหายหรือเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับของราลวัลจากการขนส่งขนส่งหรือการส่งมอบของรางวัล หรือการไม่มีผู้รับของรางวัล โดยผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลไม่มีสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ จากบริษัทฯ ทั้งสิ้น

15) ขอสงวนสิทธิ์ให้แก่ผู้ที่ทำตามเงื่อนไขและกติกาเท่านั้น โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ได้ยอมรับกติกาและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ทางบริษัทฯ กำหนดรวมถึงให้ความยินยอมและความร่วมมือในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องและลงนามในเอกสารใด ๆ ตามกฎหมายในรูปแบบที่ บริษัทฯ กำหนด รวมถึงให้ความยินยอมในการเผยแพร่ และ/หรือ ใช้บัญชีผู้ใช้งาน รายชื่อ รูปถ่าย หรือข้อมูลใด ๆ ที่ใช้ในการร่วมกิจกรรม เพื่อการประกาศผลผู้ได้รับรางวัล การโฆษณาและประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ

16) ในกรณีเกิดข้อพิพาทในการร่วมกิจกรรม “Haier 5th Global Fans Festival” คำตัดสินของกรรมการถือเป็นที่สิ้นสุด


กติกาการร่วมสนุกบนช่องทาง TikTok

1) กดติดตาม TikTok: @haier_thailand

2) กดชมเว็บไซต์ www.haier.com/th และกดชมร้านค้า https://www.lazada.co.th/shop/haier

3) กดดูวิดีโอ Haier 5th Global Fans Festival บนช่องทาง TikTok คลิก https://bit.ly/48l7pAv

4) แคปหลักฐานการทำตามข้อ 1) 2) 3) มาแปะที่ใต้คอมเมนต์กิจกรรมนี้

5) อัดวิดีโอ #InspiredHLife ความยาวไม่เกิน 30 วินาที โดยถ่ายคู่กับสินค้าไฮเออร์ บอกเล่าเรื่องราวความประทับใจที่คุณมีต่อสินค้าไฮเออร์ พร้อมทำมือสัญลักษณ์ H

6) โพสต์วิดีโอลงบน TikTok ของตนเองตั้งค่าเป็นแบบสาธารณะ ติดแฮชแท็ก #InspiredHLife #HaierGlobalFansFestival #HaierThailand และแท็ก @haier_Thailand

7) คัดเลือกผู้โชคดีจากวิดีโอที่บอกเล่าเรื่องราวความประทับใจที่คุณมีต่อสินค้าไฮเออร์ที่โดนใจกรรมการที่สุด และทำตามกติกาถูกต้องครบถ้วน

8) ของรางวัล Lotus’s Gift Card 300 บาท 20 รางวัล

9) ร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันที่ 18-29 ธ.ค. 2566 เวลา 23:59 น.

10) ประกาศผลผู้โชคดีวันที่ 10 ม.ค. 2567 เวลา 18:00 น. ทาง Facebook: Haier Thailand

11) ผู้โชคดีกรุณารายงานตัวภายในวันที่ 12 ม.ค. 2567 เวลา 18:00 น. ทาง Inbox Facebook: Haier Thailand มิเช่นนั้นจะถือว่าท่านสละสิทธิ์

12) บัญชีผู้ใช้งาน 1 บัญชี หรือ 1 ชื่อ-นามสกุล มีสิทธิ์ได้รับรางวัลตลอดระยะเวลากิจกรรมเพียง 1 รางวัลเท่านั้น

13) ของรางวัลไม่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินสด ส่วนลดหรือของรางวัลอื่นได้ และไม่สามารถโอนสิทธิ์ให้แก่บุคคลอื่นในทุกกรณี

14) บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข กติกา ของรางวัล ขยาย ยึดหรือถอนกิจกรรมได้โดยดุลพินิจของบริษัทฯ แต่เพียงผู้เดียว โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

15) บริษัทฯ ไม่รับผิดชอบใด ๆ เกี่ยวกับคุณภาพของรางวัล ความสูญหายหรือเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับของรางวัลจากการขนส่งหรือการส่งมอบของรางวัล หรือการไม่มีผู้รับของรางวัล โดยผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลไม่มีสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายใดๆ จากบริษัทฯ ทั้งสิ้น

16) ขอสงวนสิทธิ์ให้แก่ผู้ที่ทำตามเงื่อนไขและกติกาเท่านั้น โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ได้ยอมรับกติกาและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ทางบริษัทฯ กำหนดรวมถึงให้ความยินยอมและความร่วมมือในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องและลงนามในเอกสารใด ๆ ตามกฎหมายในรูปแบบที่บริษัทฯ กำหนด รวมถึงให้ความยินยอมในการเผยแพร่ และ/หรือ

ใช้บัญชีผู้ใช้งาน รายชื่อ รูปถ่าย หรือข้อมูลใด ๆ ที่ใช้ในการร่วมกิจกรรม เพื่อการประกาศผลผู้ได้รับรางวัล การโฆษณาและประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ

17) ในกรณีเกิดข้อพิพาทในการร่วมกิจกรรม “Haier 5th Global Fans Festival” คำตัดสินของกรรมการถือเป็นที่สิ้นสุด

เกี่ยวกับไฮเออร์

ไฮเออร์ เป็นผู้ผลิตและผู้นำรายใหญ่ในด้านผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ล้ำสมัยของโลก โดยมี พันธกิจในการสร้างสรรค์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี และตอบสนองความต้องการที่หลากหลายและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของผู้บริโภคกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ไฮเออร์ครองแชมป์ แบรนด์เครื่องใช้ภายในบ้านอันดับ 1 ของโลกติดต่อกัน 14 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี 2551 ถึงปี 2565 โดยการจัดอันดับของสถาบันยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยข้อมูลทางการตลาดที่น่าเชื่อถือที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

Share:

GLASSIQ บุกทำเลทองใจกลางสุขุมวิท เปิดแฟล็กชิพสโตร์ชูประสบการณ์ Omni-channel ครั้งแรกเผยกลยุทธ์ 4 ข้อเด่น ทำไมกลุ่มคนรุ่นใหม่ต้องถูกใจและเลือกซื้อ-ใช้บริการ ตั้งเป้ายอดขายมากกว่า 10,000 ตัวในปี 2024

กรุงเทพฯ 20 ธันวาคม 2566 – Glassiq (กลาสสิค) สตาร์ทอัพแว่นตาเจ้าแรกของไทย ภายใต้ บริษัท วิชั่น เวนเจอร์ส จำกัด (Vision Ventures) ผู้นำอุตสาหกรรมเกี่ยวกับสายตาตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เปิดตัวแฟล็กชิพสโตร์ครั้งแรก “Glassiq @Emsphere” (กลาสสิค  แอท เอ็มสเฟียร์) ชั้น 2 ทำเลทองใจกลางสุขุมวิทแห่งใหม่ ชูคอนเซปต์ร้านมุ่งแก้ไขช่องโหว่การจำหน่ายแว่นตาแบบเดิมที่มีราคาสูงและมากขั้นตอน พร้อมผนวกเทคโนโลยี Omni-Channel เจาะกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่  ผู้เป็นคนฉลาดเลือก (Smart Buyer) สัมผัสประสบการณ์การเลือกซื้อแว่นที่แตกต่างด้วยการใช้เครื่องมือดิจิทัลช่วยค้นหาแว่นตามความต้องการ พร้อมกับ Inspiration Lookbook ตอบโจทย์คาแรคเตอร์ผู้สวมใส่แว่นให้พิเศษยิ่งกว่าเคย

นายพิริยะ ตันตราธิวุฒิ ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์แว่นตา Glassiq และ CMO บริษัท วิชั่น เวนเจอร์ส จำกัด  กล่าวว่า “Glassiq ก่อตั้งเมื่อปี 2016 โดยวางจำหน่ายรูปแบบออนไลน์อย่างครบวงจร ด้วยคอนเซปต์จากการเห็น pain point การจำหน่ายแว่นตาแบบเดิมที่มีราคาสูงและขั้นตอนที่มากมาย จึงต้องการทำร้านแว่นที่เน้นความสะดวก สบาย ทันสมัย และเป็นมิตร ถัดมาในปี 2022 Glassiq ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท วิชั่น เวนเจอร์ส จำกัด และได้ทำการรีแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ Glassiq ที่เดิมใช้ชื่อว่า Glazziq เพื่อให้จดจำง่ายพร้อมเปลี่ยนโลโก้ (Logo) ใหม่ให้ทันสมัยขึ้น โดยเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม 2023 พร้อมแฟล็กชิพสโตร์ครั้งแรก “Glassiq @Emsphere” (กลาสสิค แอท เอ็มสเฟียร์) ชั้น 2”

โดยกลยุทธ์ของการเปิดร้าน Glassiq จะเน้นความเป็น Omni-channel สร้างประสบการณ์ที่ต่อเนื่องระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ซึ่งกลุ่มลูกค้าของ Glassiq เป็นกลุ่มคนวัยรุ่นหรือวัยทำงานที่เป็นคนฉลาดเลือก (Smart buyer) ไม่ได้ยึดติดกับการซื้อของแบรนด์เนม แต่มองหาของที่ใช้ได้ดีในราคาที่คุ้มค่า และเน้นประสบการณ์ที่ดีที่หน้าร้าน โดยทีม Glassiq ยังได้นำเอาเครื่องมือดิจิทัลต่างๆ เข้ามาประยุกต์ใช้ เพื่อให้ลูกค้าสนุกกับการซื้อแว่นมากขึ้น รวมถึงสามารถค้นหาแว่นรุ่นโปรดได้ง่าย

นายพิริยะ กล่าวต่อว่า “แม้ Glassiq เป็นสตาร์ทอัพแว่นตาเจ้าแรกของไทย ที่เพิ่งทลายกรอบจากร้านค้าออนไลน์ร้อยเปอร์เซ็น ก้าวสู่การเปิดร้านแฟล็กชิพสโตร์ที่ผสมผสานช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ครั้งแรก แต่มั่นใจในจุดเด่นครอบคลุม 4 ด้าน ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด เริ่มที่ 1. สินค้าคุณภาพไม่แพ้แบรนด์ในราคาที่เข้าถึงได้ แว่นตาของ Glassiq มีดีไซน์ที่สวย คุณภาพดี ตอบโจทย์คนไทยเพราะทีมงาน Glassiq ออกแบบเอง และผลิตกับโรงงานในประเทศเกาหลีใต้ที่เชี่ยวชาญด้านการใช้วัสดุคุณภาพและกระบวนการผลิตแว่นตา ทำให้ได้ราคาที่สมเหตุสมผล”

อีกทั้งยังมีพาร์ทเนอร์โดยตรงกับ Thai Optical Group หนึ่งในผู้ผลิตและส่งออกเลนส์รายใหญ่ชั้นนำของโลก ทำให้ได้เลนส์สายตาที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม โดยราคาสินค้า กรอบพร้อมเลนส์เริ่มต้น 1,990 บาท สำหรับเลนส์สายตาจะได้รับเลนส์ย่อบาง 1.6 หรือ 1.67 ฟรี หรือ สำหรับเลนส์ที่ไม่มีค่าสายตา สามารถเปลี่ยนเป็น เลนส์ย้อมสีแฟชั่น หรือ เลนส์กันแดดได้ และสำหรับเลนส์สายตา สามารถอัปเกรดเพิ่มได้ดังนี้ อัปเกรดกันแสงสีฟ้า +3,000 บาท อัปเกรด เปลี่ยนสีอัตโนมัติ +3,000 บาท กันแสงสีฟ้า และเปลี่ยนสีอัตโนมัติ +4,500 บาท (ลดจากราคา 6,000 บาท)

ถัดมา 2. เน้นความเป็น Omni Channel เทคโนโลยีทันสมัย ลูกค้าสามารถเลือกซื้อแว่นได้ง่ายเหมือนการซื้อเสื้อผ้า เพียงเข้าเว็บไซต์เพื่อดูกรอบแว่นจากแคตตาล็อก ศึกษารายละเอียดของแว่นแต่ละรุ่นได้ตั้งแต่ที่บ้าน ซึ่งเว็บไซต์ออกแบบให้มีความเป็นไลฟ์สไตล์ ใช้ง่าย รวมถึงมีให้ทดลองเล่นฟิลเตอร์กรองหาแว่นที่เหมาะสมกับความต้องการ มี Inpiration Lookbook ให้เลือกดู และสามารถเช็ค Product Availability จากเว็บไซต์ได้ว่า มีสินค้าให้ลองที่หน้าร้านหรือไม่ และระหว่างเลือกดูสินค้าที่ร้าน หากต้องการรู้สตอรี่ของแว่นตาเพิ่มเติม ก็ทำได้ง่ายเพียงแค่สแกน QR Code สินค้านั้นๆ  นอกจากนี้ ร้านของ Glassiq ยังมาพร้อมเทคโนโลยีใหม่สุด เช่น สายพานที่ช่วยส่งแว่นเข้าห้องฝนเลนส์อัตโนมัติได้รวดเร็ว เครื่องฝนเลนส์ที่มีความแม่นยำ และเครื่องวัดสายตารุ่นล่าสุดที่วัดได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน

3. สร้างประสบการณ์ Glassiq เพื่อนรู้ใจ พร้อมเสิร์ฟที่ Eyewear Bar บรรยากาศของร้าน Glassiq จะเป็นพื้นที่เปิด เดินเข้า-ออกได้สะดวก ช่วยให้ลูกค้าเดินเลือกชมสินค้า ดูข้อมูลสินค้าได้อย่างอิสระ ไม่กดดัน โดยที่ร้านจัดกิมมิก Eyewear Bar ที่นั่งคุยระหว่างลูกค้ากับพนักงานของ Glassiq ที่เปรียบเสมือนเพื่อนที่รู้ใจ  ให้คำแนะนำเรื่องสายตา กรอบแว่น เลนส์ การเลือกแว่นที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และความต้องการที่ลูกค้ามองหาได้

และสุดท้าย 4. ให้บริการเยี่ยมพร้อมการันตีการเทรนพนักงานจากสถาบันที่เชี่ยวชาญ ลูกค้าสามารถรอรับกรอบแว่นพร้อมเลนส์ที่หน้าร้านได้เลยภายใน 20 นาที หลังจากชำระเงิน (ยกเว้นกรณีที่ลูกค้ามีค่าสายตาซับซ้อน) โดยพนักงานของ Glassiq ทุกท่านได้ผ่านการเทรนจาก BVAX Academy (Better Vision Accuracy Expertise Academy) ที่เชี่ยวชาญในการวัดสายตา ตัด ประกอบ ปรับและดัดแว่นตา นอกจากนี้ยังมี การรับประกันสินค้า BVAX Warranty เปลี่ยนเลนส์ได้ฟรีภายใน 1 ปีหากใส่ไม่สบาย และบริการหลังการขายตลอดอายุการใช้งานมอบให้ด้วย

“การเปิดร้าน “Glassiq @Emsphere” (กลาสสิค แอท เอ็มสเฟียร์) ชั้น 2 นับเป็นอีกความท้าทายครั้งใหญ่ที่ Glassiq สตาร์ทอัพแว่นตาเจ้าแรกของไทย ตั้งใจมอบประสบการณ์ที่แตกต่างให้แก่คนรุ่นใหม่วัยรุ่นและวัยทำงาน ตั้งเป้ายอดขายมากกว่า 10,000 ตัวภายใน 2024” นายพิริยะ กล่าวทิ้งท้าย

ร่วมสัมผัสประสบการณ์การทำแว่นตาแบบใหม่ในเวอร์ชันที่ไม่เหมือนใคร ที่ร้าน Glassiq ชั้น 2 Emsphere หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

Share:

แบนบุหรี่ไฟฟ้าไม่ตอบโจทย์? ผู้ใช้ฯ เสนอ กมธ. วิสามัญฯ ออกกฎหมายควบคุม เก็บภาษี ป้องกันเด็กเยาวชน

 

เพจ “มนุษย์ควัน” ยกกรณี ‘หมอทศพร’ ร้องกลางสภาฯ เด็กประถมใช้บุหรี่ไฟฟ้าเพียบ หาซื้อง่ายผ่านช่องทางออนไลน์ ไร้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจัดการ เผยกระแสผู้ปกครองร้องเรียนหน่วยงานกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีทีท่าลดลง หลังบุหรี่ไฟฟ้าทะลักไทยหนัก แม้ประเทศไทยมีกฎหมายแบนบุหรี่ไฟฟ้าเข้าสู่ปีที่เก้าก็ตาม พร้อมตั้งคำถามหากแบนแล้วยังต้องไล่จับ เหตุใดไม่ทำให้ถูกกฎหมายแล้วกำหนดอายุผู้ซื้อขายและสถานที่ขายแทน

นายสาริษฏ์ สิทธิเสรีชน แอดมินเพจเฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ “มนุษย์ควัน” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 26,000 ราย ระบุในโพสต์อ้างอิงจากกรณีรายงานข่าวผู้ปกครองจากหลายจังหวัดร้องเรียนให้หน่วยงานรัฐช่วยดูแลกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้าที่ขายออนไลน์และบริเวณใกล้สถานศึกษาอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย หวั่นมอมเมาเด็กและเยาวชน 

“ตอนนี้ข่าวเด็กใช้บุหรี่ไฟฟ้านั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในเรื่องของจำนวนเคสที่พบ และอายุของเด็กที่ลดลง ก่อนหน้านี้เราพบเด็กมหาวิทยาลัย หรือเด็กมัธยมที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้า แต่ตอนนี้ข่าวรายงานว่าพบเด็กประถมใช้บุหรี่ไฟฟ้าด้วยซ้ำเด็กและเยาวชนสมัยนี้มีความสามารถในการใช้งานเทคโนโลยีสูง จึงไม่เป็นเรื่องยากเลยที่จะสั่งซื้อบุหรี่ไฟฟ้ามาส่ง โดยที่ผู้ปกครองไม่ทราบ และร้านค้าเองก็ไม่สนใจว่าผู้ซื้ออายุเท่าไหร่ เป็นเด็กและเยาวชนหรือไม่ ซึ่งนี่เป็นเครื่องยืนยันว่า กฎหมายการแบนบุหรี่ไฟฟ้านั้นไม่มีประสิทธิภาพในการจัดการปัญหาการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนอย่างแท้จริง”

นอกจากนี้ นายสาริษฎ์ ยังได้กล่าวถึงกรณีที่ ‘หมอทศพร’ หรือนายแพทย์ ทศพร เสรีรักษ์ แพทย์ และสมาชิกผู้แทนราษฎรเขต 1 จังหวัดแพร่ อภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ถึงการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กประถม ซึ่งทำการซื้อผ่านช่องทางออนไลน์  ว่า “ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเองก็ได้มีการกล่าวถึงกรณีการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กเช่นกัน ยิ่งทำให้ชัดเจนว่าประเด็นนี้เป็นปัญหาใหญ่ที่ยังไร้การแก้ไข แต่ในช่วงเวลาเกือบสิบปีที่ผ่านมา 

ผมมองว่าไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์ สัมมนา หรือการใช้มาตรการอื่นใดก็คงไม่มีประสิทธิภาพในการจัดการบุหรี่ไฟฟ้าเถื่อนได้ดีเท่าการนำบุหรี่ไฟฟ้ามาควบคุมให้ชัดเจนด้วยกฎหมายเช่นเดียวกับการควบคุมบุหรี่ อย่างน้อยก็จะสามารถจำกัดและตรวจสอบอายุผู้ซื้อขาย สถานที่ขาย รวมถึงคุณภาพและส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ได้”

“ในประเทศที่แบนบุหรี่ไฟฟ้าส่วนใหญ่ต้องพบกับปัญหาอัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนที่พุ่งสูง มากกว่าประเทศที่ควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เช่นไทย สิงคโปร์ อินเดีย ออสเตรเลีย การแบนทำให้ไมสามารถเข้ามาควบคุม สอดส่องทั้งเรื่องการซื้อขาย การทำการตลาด อายุขั้นต่ำ ภาพคำเตือน คุณภาพและความปลอดภัยได้ แถมการแบนยิ่งไปกระตุ้นให้เด็กอยากฝ่าฝืนมากขึ้น จึงอยากฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและคณะกรรมาธิการวิสามัญที่พิจารณาเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าพิจารณาหาแนวทางใหม่แทนการแบนบุหรี่ไฟฟ้าที่ไม่สามารถบังคับใช้ได้จริงในปัจจุบัน”

Share:

ททท. ปักหมุดงาน “Amazing Thailand Countdown 2024” ทั่วประเทศไทย เตรียมส่งความสุขรับศักราชใหม่คาดเงินสะพัดกว่า 5 หมื่นล้านบาท

บ่ายวันนี้ (21 ธันวาคม 2566) ณ ห้องโถงธนะรัชต์ อาคารการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นประธาน ในงานแถลงข่าวการจัดงาน “Amazing Thailand Countdown 2024” ประเทศไทย พร้อมกันนี้นายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด และนายกันตภณ ผาณิตรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโสกลุ่มงานการตลาดสาขาและบริหารงานลูกค้าบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ให้เกียรติร่วมงานฯ เชิญชวนสัมผัสความวิจิตรตระการตาแสงแรกแห่งอรุณรุ่งของกรุงสยามที่จะส่งมอบความสุขต้อนรับวาระดิถีขึ้นปีใหม่ 2567 ในพื้นที่หลักสวนนาคราภิรมย์ กรุงเทพมหานคร ซึ่งปีนี้ ททท. ยังได้ร่วมจัดกิจกรรมในจังหวัดนครราชสีมา และสนับสนุนการจัดงานในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ คาดว่าจะสร้างรายได้หมุนเวียนรวม 5.4 หมื่นล้านบาท

นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ททท. เตรียมต้อนรับศักราชใหม่ จัดงาน “Amazing Thailand Countdown 2024” ประเทศไทย ซึ่งถือเป็นบิ๊กอีเวนต์สำคัญภายใต้โครงการ Thailand Winter Festivals ของรัฐบาล เพื่อเพิ่มแรงส่งกระตุ้นการท่องเที่ยวช่วงปลายปี 2566 ทั้งสอดคล้องกับนโยบาย Soft Power ที่จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ให้กรุงเทพมหานคร เป็นแลนด์มาร์กและ Global Countdown Destination จุดเคาท์ดาวน์ระดับโลกที่นักท่องเที่ยวต้องนึกถึงและมาเยือนอย่างต่อเนื่อง

กิจกรรมเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2567 ที่ ททท. ดำเนินการจัดกิจกรรมและร่วมจัดกิจกรรม

แต่ละพื้นที่ มีเอกลักษณ์และกิจกรรมในการจัดงานที่แตกต่างกันไป ดังนี้

1. งาน “Amazing Thailand Countdown 2024 วิจิตร อรุณ”

วันจัดงาน : วันที่ 31 ธันวาคม 2566 - 1 มกราคม 2567

พื้นที่จัดงาน : สวนนาคราภิรมย์ กรุงเทพมหานคร

กิจกรรม “Amazing Thailand Countdown 2024 วิจิตร อรุณ” ถือเป็นไฮไลท์ของกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวในเดือนธันวาคม 2566 ต่อเนื่องจากงาน VIJIT CHAO PHRAYA 2023 โดย ททท. เนรมิตพื้นที่สวนนาคราภิรมย์ ให้เป็นสถานที่เฉลิมฉลองค่ำคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ยิ่งใหญ่ ภายใต้แนวคิด“วิจิตร อรุณ” ความวิจิตรตระการตาของแสงแรกแห่งอรุณรุ่งของกรุงสยามที่จะส่งมอบความสุขในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ 2567 โดยสร้างสีสันบรรยากาศยามค่ำคืนให้กับสถานที่สำคัญที่มีความสวยงามริมแม่น้ำเจ้าพระยา แลนด์มาร์กของประเทศไทยอย่าง พระปรางค์

วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ด้วยนวัตกรรมแสง สี เสียง และสื่อประสมที่ทันสมัย ควบคู่กับ

การผสมผสานวัฒนธรรม เพื่อสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวอันอัศจรรย์ใหม่ๆ ให้กับนักท่องเที่ยว

พร้อมเติมเต็มบรรยากาศแห่งความสุขและสนุกส่งท้ายปีด้วยการแสดงทางวัฒนธรรมไทยและการแสดงร่วมสมัยประยุกต์ ไม่ว่าจะเป็น การแสดงโขน การแสดงจากคณะโจหลุยส์ การบรรเลงเพลงออเครสตร้า จากวง Chao Phraya Symphony Orchestra พร้อมขับกล่อมบรรยากาศด้วยบทเพลงจากศิลปิน รวมถึงการแสดงจากศิลปินชื่อดัง ได้แก่ น้อย - กฤษดา สุโกศล แคลปป์, นัท มีเรีย, เก่ง ธชย, ติวเตอร์ - กรภัทร์ ลำน้อย, เข้ม - หัสวีร์ ภัคพงษ์ไพศาล ก่อนจะปิดท้ายกับ กิจกรรมไฮไลต์ร่วมนับถอยหลังก้าวเข้าสู่ปีใหม่ไปพร้อมกับการแสดงพลุที่สวยงามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยายาวต่อเนื่องกว่า 7 นาที โดยแบ่งเป็น 9 องก์ ประกอบด้วย อรุณรุ่ง / อรุณแห่งศรัทธา / รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย / ดินแดนแห่งความสุข / สยามเมืองยิ้ม / รุ่งอรุณแห่งการท่องเที่ยว / แสงอรุณแห่งอิสระเสรี / เจริญ รุ่งโรจน์ และ แสงอรุณแห่งความเชื่อ ศรัทธา ก้าวหน้า รอยยิ้มสะท้อนสัญญาณแห่งการเริ่มต้นปีศักราชและส่งมอบความสุขต้อนรับปีใหม่ 2567

2. งาน Korat Winter Festival & Countdown 2024

วันจัดงาน : วันที่ 22 ธันวาคม 2566 - 2 มกราคม 2567

พื้นที่จัดงาน : บริเวณสนามหน้าศาลากลาง จังหวัดนครราชสีมา

กิจกรรม “Korat Winter Festival & Countdown 2024” ร่วมเฉลิมฉลองเมืองนครราชสีมา ครบรอบ 555 ปี ในรูปแบบ “งานมหกรรมสวนสนุกนานาชาติ” ภายในงานพบกับสวนสนุกขนาดใหญ่ เสิร์ฟความสุขต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2566 - 14 มกราคม 2567 จากนั้นห้ามพลาดแวะเช็กอินจุดแลนด์มาร์กต้นคริสมาสต์ตกแต่งประดับไฟสวยงาม และสวนดอกไม้ โดยฟลอร่าพาร์ค บริเวณด้านหน้าอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 หรือชิมช้อปผลิตภัณฑ์สินค้า OTOP ของเมืองโคราชก็มีมาให้เลือกอย่างจุใจ

นอกจากนี้ ททท. ยังร่วมจัดกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย การแสดงของศิลปินที่มีชื่อเสียงบนเวที ในวันที่ 29-31 ธันวาคม 2566 การตกแต่งประดับไฟสวยงามบริเวณหอนาฬิกาและในคูเมืองบริเวณที่จัดงาน ก่อนจะปิดท้ายด้วยกิจกรรมไฮไลต์ร่วมจุดพลุเฉลิมฉลองนับถอยหลังส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2567 ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2566

นายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวว่า ICONSIAM พร้อมแล้วกับปรากฏการณ์เคานต์ดาวน์ระดับโลกริมแม่น้ำเจ้าพระยายิ่งใหญ่ส่งท้ายปี “Amazing Thailand Countdown 2024” ภายใต้ความร่วมมือของ ททท. กรุงเทพมหานคร พันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน รวมไว้ครบทุกความเป็นที่สุดในทุกด้านกับการฉลองเข้าสู่ศักราชใหม่ต่อเนื่อง 3 วัน 3 คืน ตั้งแต่ 29 -31 ธันวาคม 2566 ภายใต้แนวคิด “The Unrivaled Phenomenon of SIAM” มหาปรากฎการณ์เปิดศักราชใหม่แห่งสยาม รวมสุดยอดศิลปินบนเวที 360 องศา สุดอลังการริมแม่น้ำ กับเซอร์ไพร์สของศิลปิน KPOP วง GOT7 นำโดย แบมแบม-กันต์พิมุกต์ ภูวกุล, มาร์ค ต้วน และคิม ยูคยอม และ 13 ศิลปินท็อปลิสต์ของเมืองไทย อาทิ BameeKT, PERSES, Jeff Satur, Proxie, 4EVE, ATLAS, Three Man Down, ซี-นุนิว, พีพี-กฤษฏ์, บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ และ DJ HANKY ก่อนจะสะกดทุกสายตาโลกกับการแสดงพลุรักษ์โลก 50,000 ดอก ภายใต้แนวคิด

“The Unrivaled Phenomenon of SIAM” ความยาว 9 นาที รวมระยะทาง 1,400 เมตร ตลอดคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยา และการแสดงโดรน 3D Drone Celebration Show กว่า 2,000 ลำ ประกอบบทเพลง ภายใต้แนวคิด “The Revolutionary Phenomenon of SIAM” มหาปรากฏการณ์ความรุ่งโรจน์จากผืนน้ำสู่ฟากฟ้า บอกเล่ามหัศจรรย์เรื่องราวความรุ่งโรจน์ของ ICONSIAM

นายกันตภณ ผาณิตรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโสกลุ่มงานการตลาดสาขาและบริหารงานลูกค้า บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัท เซ็นทรัล พัฒนา จำกัด (มหาชน) เตรียมสร้างปรากฎการณ์ความสุขส่งท้ายปีอย่างยิ่งใหญ่ กับงาน Centralworld Bangkok Countdown 2024 ในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ถนนราชดำริ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Amazing Thailand Countdown 2024 และ Thailand Winter Festivals ปีนี้จัดเต็มความมันส์ด้วยโปรดักชั่นระดับโลก ทั้งเวที แสง เสียง คมชัดทุกองศา โดยมีกิจกรรมไฮไลท์การแสดงจากศิลปินที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศและต่างประเทศกว่า 65 ชีวิต นำทัพด้วย บิวกิ้น พีพี กฤษณ์ อิงค์ วรันธร นนท์ ธนนท์ โบกี้ไลอ้อน และ Finale Show ของศิลปินระดับโลกอย่าง YOUNGJAE GOT7 และ PATRICK ก่อนจะส่งท้ายด้วยการแสดงพลุสุดล้ำ Digital Firework 180 องศาผสมผสานกับพลุจริง เพื่อส่งเสริมให้ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์กลายเป็น Time Square of Asia แลนด์มาร์กแห่งงาน Entertainment Countdown ที่ดีที่สุดในระดับโลก

นอกจากนี้ ททท. ยังมีกิจกรรมที่ ททท. ให้การสนับสนุนการจัดงานเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2567 ในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศไทย เริ่มต้นที่ ภาคเหนือ เช่น งาน Amazing Chiang Mai Countdown 2024 วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ณ สวนเฉลิมพระเกียรติ 82 พรรษา จังหวัดเชียงใหม่, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น งาน AWAKEN KHONKAEN COUNTDOWN 2024 วันที่ 31 ธันวาคม 2566-1 มกราคม 2567 ณ สวนประตูเมืองและบริเวณถนนศรีจันทร์ จังหวัดขอนแก่น, งาน “นครพนม Winter Festival ตอน หนาวลม ชมโขง” วันที่ 25 ธันวาคม 2566-1 มกราคม 2567 ณ บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง จังหวัดนครพนม, งาน “หอโหวด๑๐๑ ROI ET TOWER” วันที่ 29 ธันวาคม 2566-1 มกราคม 2567 ณ หอโหวด 101 จังหวัดร้อยเอ็ด, ภาคกลาง งาน Countdown Suphanburi 2024 Happy Love Happy Luck วันที่ 29-31 ธันวาคม 2566 ณ สวนเฉลิมภัทรราชินีหอคอยบรรหารแจ่มใส จังหวัดสุพรรณบุรี, งาน Hua Hin Countdown 2024 วันที่ 31 ธันวาคม 2566 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์, งาน Ratchaprasong New Year Lighting 2024 วันที่ 5 ธันวาคม 2566-5 มกราคม 2567 ณ บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ถนนราชดำริและถนนเพลินจิต กรุงเทพมหานคร, งาน Light Up Christmas Tree 2024 วันที่ 27 พฤศจิกายน 2566-2 มกราคม 2567 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร, งาน Amazing Thailand Countdown 2024 วันที่ 29-31 ธันวาคม 2566 ณ ศูนย์การค้าไอคอนสยาม กรุงเทพมหานคร, งาน Centralworld Bangkok Countdown 2024 วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร และ ภาคใต้ งาน Discover Phuket Countdown 2024 วันที่ 31 ธันวาคม 2566-1 มกราคม 2567 ณ ย่านเมืองเก่าภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต, งาน HATYAI COUNTDOWN 2024 วันที่ 31 ธันวาคม 2566-1 มกราคม 2567 ณ ถนนศุภสารรังสรรค์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นต้น

ททท. เชื่อมั่นว่าการจัดงานฯ ในครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างประสบการณ์รูปแบบใหม่ให้แก่นักท่องเที่ยว

ช่วยขยายเวลาการท่องเที่ยวในช่วงกลางคืน และเพิ่มการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่องในพื้นที่ของการจัดกิจกรรม เช่น โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร และผู้ให้บริการล่องเรือรับประทานอาหาร เป็นต้น โดย ททท. คาดว่าในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ปี 2567 การท่องเที่ยวภายในประเทศจะคึกคักมาก เนื่องจากเป็นช่วงที่คนไทยเดินทางกลับไปยังภูมิลำเนาเพื่อเยี่ยมญาติพี่น้องและถือโอกาสเดินทางท่องเที่ยวไปพร้อมกัน ส่งผลให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศประมาณ 3.75 ล้านคน-ครั้ง และสร้างรายได้ 12,700 ล้านบาท ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติ คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวประมาณ 1.18 ล้านคน-ครั้ง และสร้างรายได้ 41,700 ล้านบาท ส่งผลให้มีรายได้รวมทางการท่องเที่ยวทั้งสิ้น 54,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น

ร้อยละ 44 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ข้อมูลเพิ่มเติม Facebook : https://www.facebook.com/vijitchaophraya2023?mibextid=ZbWKwL

Share:

Recent Posts

ค้นหาบล็อกนี้

Contact Us ::

📲 (+66) 081 4345154
✉️ Insightoutstory@gmail.com

Add Line📲 Click 👇👇

Translate

🚉 ช.ส.ท.พาเที่ยว นครฯ

Review By Nichapa

POPULAR NEWS

Fanpage Facebook

ป้ายกำกับ

คลังบทความของบล็อก