ในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม จะตรงกับช่วงไฮท์ซีซั่นของประเทศนี้ซึ่งถือว่าเป็นช่วงฤดูร้อนที่อากาศแจ่มใสไม่หนาวเย็นจนเกินไป ดอกไม้ผลิดอกบานสะพรั่งและทุ่งหญ้าอันเขียวขจีบนเทือกเทียนซานอันสลับซับซ้อน บรรยากาศจึงเหมาะสำหรับการท่องเที่ยวและพักผ่อนเป็นอย่างยิ่ง
คีร์กีซสถาน Kyrgyzstan ดินแดนลี้ลับบนเทือกเขาเทียนซานจนได้ชื่อว่า"สวิสเซอร์แลนด์แห่งเอเซียกลาง"
รองผู้ว่าฯ สมุทรสาคร เปิดงาน “เพชรสมุทรคีรี สินค้าดีจากพื้นถิ่น คืนสู่ชีวิตที่ดีของทุกคน Goods from Here, Good for All ณ พาราไดซ์ พาร์ค ศรีนครินทร์ ช้อปฟิน กินเพลิน ถึง 6 กรกฎาคม 68 นี้
สำนักงานพาณิชย์จังหวัดสมุทรสาคร และกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 ชวนช้อปสินค้าดีจาก 4 จังหวัด สมุทรสงคราม สมุทรสาคร เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ทั้งอาหารทะเล สินค้าเกษตรแปรรูป สินค้า เกษตรอินทรีย์ สินค้า BCG และสินค้า Soft Power สุดสร้างสรรค์ รวมกว่า 50 ร้านค้า ระหว่างวันที่ 2-6 กรกฎาคม ณ พาราไดซ์ พาร์ค ศรีนครินทร์
วันนี้ (3 ก.ค.68) เวลา 16.00 น. ร้อยตำรวจเอก เขตรัฐ ชาญศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด สมุทรสาคร เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “เพชรสมุทรคีรี สินค้าดีจากพื้นถิ่น คืนสู่ชีวิตที่ดีของทุกคน Goods from Here, Good for All” โดยมี นางภิชตรา ชาญศิลป์ รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดสมุทรสาคร พาณิชย์จังหวัดทั้ง 4 จังหวัด ในกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ สภาหอการค้า ผู้ประกอบการ เข้าร่วมงานด้วย ณ ลานรอยัล พาร์ค พลาซ่า ชั้น 1 ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร
ร้อยตำรวจเอก เขตรัฐ ชาญศิลป์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า กลุ่มจังหวัด ภาคกลางตอนล่าง 2 หรือกลุ่มจังหวัดเพชรสมุทรคีรี มีฐานเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ อุตสาหกรรมการเกษตรและ ประมง โดยเฉพาะจังหวัดสมุทรสาคร เป็นหนึ่งในศูนย์กลางอุตสาหกรรมอาหารทะเลแปรรูปที่สำคัญที่สุดของ ประเทศ จึงได้ร่วมกันบูรณาการจัดทำโครงการเพิ่มศักยภาพการจำหน่ายสินค้าและบริการ เพื่อเชื่อมโยงตลาด ทั้งในและต่างประเทศ โดยนำของดีจากทั้ง 4 จังหวัด มาจัดแสดงและจำหน่าย อาทิ ปลาทูชาเตี้ยะแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม น้ำตาลโตนด และขนมหม้อแกงเมืองเพชร มะพร้าวน้ำหอมบ้านแพ้ว อาหารทะเลแปรรูป เกลือสมุทรสมุทรสาคร เค้กไส้สับปะรดกวนประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาดและช่องทาง การค้าให้กับผู้ประกอบการ
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมเจรจาธุรกิจ, สินค้านาทีทอง, สินค้า 1 แถม 1 พร้อมชมฟรีการแสดง มินิคอนเสิร์ต ในเวลา 18.00-19.00 น. โดยในวันที่ 2 ก.ค. พบกับ ก้านตอง ทุ่งเงิน 3 ก.ค. พบกับ หญิง ธิติกานต์, 4 ก.ค. พบกับ เปาวลี, 5 ก.ค. พบกับ กานต์ ทศน และ 6 ก.ค. พบกับ หนิง ปัทมา ชมฟรีตลอดงาน !!วธอ. จับมือ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดโครงการหลักสูตร “ผู้นำธุรกิจรุ่นใหม่ – กลยุทธ์รอดและโตในโลกเศรษฐกิจใหม่” วธอ. Next Gen 1
พิธีเปิดหลักสูตรจัดขึ้นโดยได้รับเกียรติจาก นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานที่ปรึกษามูลนิธิ วธอ. เป็นประธานในพิธีฯ พร้อมด้วย นายชัชวาลย์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการมูลนิธิ วธอ. และ รองศาสตราจารย์ ดร. พีระ เจริญพร คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) และร่วมเสวนาเพื่อแนะนำหลักสูตร
หลักสูตร “วธอ. Next Gen 1” ถือเป็นการต่อยอดจากความสำเร็จของ หลักสูตรนักบริหารระดับสูงด้านการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมและการลงทุน (วธอ.) ซึ่งดำเนินการมาแล้วต่อเนื่องถึงรุ่นที่ 9 หลักสูตรนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นต้นแบบของการพัฒนาผู้นำและยุทธศาสตร์สำหรับภาคธุรกิจไทยอย่างแท้จริง โดยวธอ. อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของมูลนิธิเพื่อการพัฒนาการประกอบการธุรกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งก่อตั้งโดยภาคธุรกิจและสถาบันการเงิน เพื่อยกระดับขีดความสามารถของธุรกิจไทยทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานที่ปรึกษามูลนิธิ วธอ. กล่าวว่า “โครงการ วธอ. Next Gen 1 เกิดจากความตั้งใจของมูลนิธิฯ ที่ต้องการสร้างผู้นำธุรกิจรุ่นใหม่ให้สามารถปรับตัวและเติบโตได้อย่างมั่นคงในโลกที่เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงเร็ว เราเชื่อว่าองค์ความรู้เชิงกลยุทธ์ที่ถูกต้อง จะช่วยให้ผู้นำธุรกิจรุ่นใหม่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อองค์กรและสังคมได้อย่างยั่งยืนและสร้างโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ๆ ให้กับประเทศ” ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร. พีระ เจริญพร กล่าวเสริมว่า “หลักสูตรนี้ออกแบบโดยคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญของคณะฯ และภาคธุรกิจ โดยมุ่งพัฒนาผู้นำให้มีมุมมองรอบด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การตลาด นวัตกรรม และนโยบาย รวมถึงเสริมทักษะคิดเชิงกลยุทธ์ ที่จำเป็นต่อการบริหารองค์กรในโลกที่ไม่แน่นอน”
หลักสูตร วธอ. Next Gen 1 จึงถือเป็นหลักสูตรที่ตอบโจทย์ผู้นำธุรกิจยุคใหม่ ทั้งในแง่ขององค์ความรู้เชิงวิชาการ การเรียนรู้จากกรณีศึกษา และประสบการณ์ตรงจากผู้บริหารระดับแนวหน้าของประเทศในภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ และภาคการเงิน
สำหรับคุณสมบัติของผู้สมัครหลักสูตร วธอ. Next Gen 1 ต้องมีอายุระหว่าง 30 – 45 ปี โดยเป็นเจ้าของธุรกิจ ผู้บริหารระดับกลางขึ้นไป หรือผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในภาคเอกชน รวมถึงเป็นผู้บริหารระดับกลางในภาครัฐบาลและองค์กรอิสระตั้งแต่ตำแหน่งระดับชำนาญการพิเศษขึ้นไปที่มีความสนใจในการพัฒนาความรู้ด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจ และนวัตกรรม เพื่อยกระดับศักยภาพในการขับเคลื่อนองค์กรและประเทศในยุคเศรษฐกิจใหม่ โดยผู้เข้าร่วมอบรมจะได้เรียนรู้ทิศทางการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลก และแนวคิดการจัดการธุรกิจในโลกเศรษฐกิจยุคใหม่ และได้แลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ภายใต้เครือข่ายผู้นำรุ่นใหม่ ทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐบาล เพื่อร่วมขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจไทยในอนาคต
สำหรับการจัดอบรมหลักสูตร วธอ. Next Gen 1 มีกำหนดอบรมตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม ถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 โดยอบรมทุกวันพฤหัสบดี เวลา 17.00 – 19.00 น. ณ โรงแรมควีนส์แลนด์ กรุงเทพฯ เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ – 18 กรกฎาคม 2568 และจะประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกภายในวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรนี้ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการอบรมแต่ประการใด โดยมูลนิธิฯ จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย
ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมหลักสูตรได้ที่ https://www.ibid.in.th และ https://www.econ.tu.ac.th
บมจ.เออาร์ไอพี จับมือ คณะพาณิชยศาสตร์ฯ มธ.มอบรางวัล “THAILAND TOP CEO OF THE YEAR 2025”
เชิดชู สุดยอดผู้นำที่พร้อมนำองค์กรฝ่ามรสุมแห่งความผันผวน
นิตยสาร BUSINESS+ โดย บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดงานมอบรางวัล THAILAND TOP CEO OF THE YEAR 2025 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ภายใต้แนวคิด “NAVIGATE THROUGH THE UNCERTAINTY ก้าวนำฝ่ามรสุมแห่งความผันผวน” เพื่อประกาศเกียรติคุณรางวัลแห่งความสำเร็จในการบริหารองค์กรของผู้บริหารสูงสุดชั้นนำของประเทศในอุตสาหกรรมต่างๆ และผู้บริหารดาวรุ่ง โดยได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ นุรักษ์ มาประณีต องคมนตรี เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย ผู้บริหารระดับสูงจากหลากหลายองค์กรเข้าร่วมรับรางวัลอย่างสมเกียรติ ณ ห้องบอลรูม โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ
นายมนู เลียวไพโรจน์ ประธานกรรมการ บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผู้บริหารสูงสุดขององค์กรแต่ละท่าน ต่างมีองค์ความรู้ ประสบการณ์และแนวทางการบริหารงานที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ละท่านผ่านวิกฤติและโอกาสที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นความเปลี่ยนแปลงผู้บริโภค สภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม และความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมที่แตกต่างกันไป งาน THAILAND TOP CEO OF THE YEAR 2025 ในครั้งนี้จึงได้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “NAVIGATE THROUGH THE UNCERTAINTY ก้าวนำฝ่ามรสุมแห่งความผันผวน” ขึ้นเพื่อสะท้อนภาพความสามารถของผู้นำองค์กรในการบริหารจัดการในหลากหลายมิติและฝ่าฝันจนไปสู่ความสำเร็จ การมอบรางวัลในปีนี้ จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ด้วยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาด้านการพาณิชยศาสตร์และการบัญชีระดับชั้นนำของประเทศ และมีชื่อเสียงในระดับสากล ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รางวัล THAILAND TOP CEO OF THE YEAR 2025 นี้ จะเป็นรางวัลสำคัญในการเสริมสร้างกำลังใจ ให้แก่ผู้บริหารสูงสุดขององค์กรทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ให้ยังคงมุ่งมั่นที่จะยกระดับศักยภาพในการบริหารจัดการองค์กรให้เจริญงอกงามยั่งยืน สร้างคุณค่าให้แก่องค์กร และพนักงาน พร้อมๆ ไปกับร่วมกันดูแลสังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อม อันเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศไทยต่อไป”พม. จัดพิธีปลงผมนาค “ราษฎรบนพื้นที่สูง” ถวายเป็นพระราชกุศล สืบสานพุทธธรรมสู่ยอดดอย
นายอนุกูล กล่าวว่า โครงการพระธรรมจาริกเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2508 จากความร่วมมือระหว่างกรมประชาสงเคราะห์ (ชื่อเดิมของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ) และมูลนิธิเผยแพร่พระพุทธศาสนาแก่ชนถิ่นกันดารฯ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาในกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง ซึ่งมีวัฒนธรรม วิถีชีวิต และความเชื่อต่างจากสังคมกระแสหลัก ตลอดระยะเวลากว่า 6 ทศวรรษ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการได้ร่วมมือกับพระธรรมจาริกในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตประชาชนบนพื้นที่สูง ซึ่งมีมากถึง 1,015,894 คน จาก 10 กลุ่มชาติพันธุ์ อาทิ กะเหรี่ยง ม้ง เมี่ยน ลาหู่ ฯลฯ โดยมุ่งเน้นการยกระดับทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียม
ในปัจจุบัน มีพระภิกษุและสามเณรในโครงการพระธรรมจาริกกว่า 595 รูป และมีอาศรมพระธรรมจาริกกว่า 315 แห่งทั่วประเทศ ทำหน้าที่เป็น “นักพัฒนาในผ้าเหลือง” ที่นอกจากจะเผยแผ่ธรรมะแล้ว ยังอบรมศีลธรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนนายอนุกูล กล่าวต่อไปว่า โครงการนี้ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบรมวงศานุวงศ์มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบทุนเล่าเรียนหลวง ศาลาปฏิบัติธรรม และพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ซึ่งถือเป็นพลังศรัทธาอันสำคัญที่เกื้อหนุนการธำรงพระพุทธศาสนาในพื้นที่ห่างไกล พระธรรมจาริกจึงไม่ใช่เพียงพระสงฆ์ที่เดินทางไปจำพรรษาบนยอดดอย หากแต่เป็น “สะพานใจ” ที่เชื่อมระหว่างศาสนา วัฒนธรรม และการพัฒนาเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน
พม. ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธาร่วมเป็นเจ้าภาพมอบผ้าไตรและเครื่องอัฐบริขารแก่ผู้บวชในครั้งนี้ ระหว่างวันที่ 28 – 29 มิถุนายน 2568 หรือร่วมบริจาคผ่านบัญชีของมูลนิธิฯ และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line: @thammahighland
Jabs โชว์ศักยภาพแบรนด์สกินแคร์ไทยในงาน Cosmoprof CBE ASEAN 2025 เดินหน้าเสริมทัพกลยุทธ์ความงามแบบครบวงจร
รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส เดินหน้าตอกย้ำกลยุทธ์การเติบโตในตลาดความงามระดับภูมิภาค ด้วยการเข้าร่วมงาน Cosmoprof CBE ASEAN 2025
ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-27 มิถุนายน 2025 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ งานแสดงสินค้าความงามระดับนานาชาติที่รวมแบรนด์ชั้นนำจากทั่วเอเชียไว้มากที่สุด
ภายในบูธ Jabs ได้จัดแสดงผลิตภัณฑ์เด่นอย่าง Bright Booster UV protection Body lotion SPF50 PA+++ และกลุ่มสกินแคร์เพื่อผิวโกลว์กระจ่างใส พร้อมเปิดตัวสินค้าใหม่ Jabs Bonny Bliss Lip & Cheek
บาล์มเนื้อสัมผัสนุ่มละมุน บางเบา ไม่เหนอะหนะ เติมความชุ่มชื้นได้ทั้งริมฝีปากและพวงแก้ม ใน 4 เฉดสีที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก 4 ฤดูกาล พร้อมดึง “พูห์ พาเวล” เป็นพรีเซนเตอร์ ถ่ายทอดภาพลักษณ์ความละมุนสดใสของผลิตภัณฑ์ใหม่นี้
กิจกรรมภายในบูธยังได้รับเกียรติจาก คุณออน อินฟลูเอนเซอร์สายไลฟ์สไตล์, "ดีน่า" มิสยูนิเวิร์สสมุทรสาคร 2025 "เลม่อน" มิสยูนิเวิร์สบึงกาฬ 2025, และ คุณฉัตร จาก Nongchat MakeUp ที่มาร่วมชมบูธและทดลองใช้เมกอัพของทางแบรนด์ Jabs อีกด้วย
อีกหนึ่งกิจกรรมเด่นคือ “Personal Color Matching”
ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้วิเคราะห์เฉดสีที่เหมาะกับตนเอง เพื่อใช้ในการเลือกเครื่องสำอาง ลิปสติก และสีเสื้อผ้าให้เข้ากับบุคลิกและโทนผิว โดยมีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด
เสริมประสบการณ์การช้อปผลิตภัณฑ์ของ Jabs อย่างตรงใจผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น
Jabs ขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมชมบูธกิจกรรมสุดพิเศษในวันสุดท้าย 27 มิถุนายนนี้ ณ บูธ Jabs ภายในงาน Cosmoprof
พร้อมพบกับของที่ระลึกอีกมากมายภายในงาน
พม. หนุนความเท่าเทียม เปิดตัวคู่มือ-การจัดห้องสุขาสาธารณะต้นแบบสำหรับทุกคน เล็งขยายผลไปยังภาคีเครือข่ายทั่วประเทศ
นายอนุกูล กล่าวว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ และหลักการสิทธิมนุษยชนสากล ตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ที่ได้เข้าร่วมเป็นภาคี ได้แก่ อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ หรืออนุสัญญา CEDAW , ปฏิญญาปักกิ่งและแผนปฏิบัติการเพื่อความก้าวหน้าของสตรี และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เป้าหมายที่ 5 การบรรลุความเท่าเทียมระหว่างเพศ และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่สตรีและเด็กหญิง ประกอบกับความมุ่งหมายในการคุ้มครองและป้องกันมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 ทั้งนี้ การจัดห้องสุขาสาธารณะสำหรับทุกคน (Restroom For All) จึงเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการตระหนักถึงสิทธิ และการไม่เลือกปฏิบัติต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องเพศ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ ซึ่งเป็นฐานคิดสำคัญในการส่งเสริมความเสมอภาคและเท่าเทียมทางสังคมที่เป็นเป้าหมายสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน
เป้าหมายสูงสุดของการจัดห้องสุขาสาธารณะสำหรับทุกคน (Restroom For All) คือ การมุ่งตอบสนองต่อความต้องการและความจำเป็น รวมถึงบริการที่ครอบคลุมทุกกลุ่มสังคม ทั้งกลุ่มเพศชาย เพศหญิง กลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ อีกทั้งยังเป็นเรื่องของการออกแบบและการปรับทัศนคติในการสร้างความเข้าใจเรื่องความหลากหลาย ความเสมอภาคเท่าเทียมระหว่างเพศ และการสร้างสังคมที่ทุกคนมีส่วนร่วม โดยยึดหลัก “ความสะอาด ความปลอดภัย และการรักษาความปลอดภัย ความสะดวก เข้าถึงได้ง่าย และความเป็นส่วนตัว” นอกจากนี้ การขับเคลื่อนให้เกิดห้องสุขาสาธารณะสำหรับทุกคน (Restroom For All) เพื่อให้มีความสมบูรณ์ ยังต้องมีการปรับปรุงกฎหมายและกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 และกฎกระทรวง ฉบับที่ 39 (พ.ศ.2537) และฉบับที่ 63 (พ.ศ.2551) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากฎหมายมีการกำหนดแบบและจำนวนของห้องสุขา อาจจะไม่เพียงพอและไม่รองรับการใช้งานในปัจจุบัน ที่มีเพียงห้องสุขาเฉพาะแค่เพศหญิงและเพศชายเท่านั้น แต่ไม่ได้มีการพิจารณาถึงความต้องการเฉพาะของกลุ่มบุคคลต่างๆ จำนวนของผู้ใช้บริการ และระยะเวลาในการใช้บริการของแต่ละเพศ จึงควรมีการทบทวนและปรับปรุงกฎหมายหรือกฎระเบียบดังกล่าว ให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มบุคคลต่างๆ และสถานการณ์ทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
นายอนุกูล กล่าวต่อไปว่า วันนี้ ต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันจัดทำคู่มือฉบับนี้ บนหลักการพื้นฐานในการจัดบริการห้องสุขาสาธารณะ โดยคำนึงถึงป้ายสัญลักษณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนแนวทางในการขับเคลื่อนให้เกิดห้องสุขาสาธารณะสำหรับทุกคน (Restroom For All) เป็นสำคัญ ซึ่งกระทรวง พม. โดย สค. ได้ดำเนินการจัดส่งคู่มือฯ ในรูปแบบ E-Book เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และเป็นแนวทางในการออกแบบหรือปรับปรุงห้องสุขาที่เหมาะสมตามบริบทของหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ , หน่วยงานภายนอกระดับกระทรวง 19 แห่ง , หน่วยงานภายนอกระดับกรม 116 แห่ง และ หน่วยงานสังกัด พม. 8 แห่ง รวมทั้งสิ้น 218 หน่วยงาน
นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้เป็นการเปิดตัวคู่มือและการจัดห้องสุขาสาธารณะสำหรับทุกคน (Restroom For All) เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับทุกเพศทุกวัย เป็นการให้นิยามของความเท่าเทียมอย่างแท้จริง เป็นการสะท้อนถึงการขับเคลื่อนด้านความเท่าเทียมทางเพศ ซึ่งคู่มือเล่มนี้ได้ลงรายละเอียดอย่างครบถ้วน เป็นคู่มือสำคัญที่จะเชื่อมโยงสังคมในการให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมทางเพศ ผ่านการใช้ห้องสุขาสาธารณะ ทั้งนี้ คู่มือเล่มนี้จะเกิดผลสำเร็จได้นั้น จำเป็นต้องขับเคลื่อนผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เนื่องจากห้องสุขาเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องแรกที่มนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องใช้ และต้องสามารถใช้ได้ทุกเพศทุกวัย ทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้หญิง ผู้ชาย และผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งภายในห้องน้ำจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้แก่ โถปัสสาวะสำหรับเด็กเล็ก ที่เปลี่ยนผ้าอ้อมสำหรับเด็ก บริการผ้าอ้อมสำเร็จรูปและผ้าอนามัย และราวจับสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ “งานวันนี้ ไม่ใช่เพียงแค่การเปิดตัวคู่มือฯ แต่เราต้องการเสนอความเท่าเทียมทางเพศผ่านห้องสุขาสาธารณะ เพื่อเป็นต้นแบบที่สำคัญในสังคม ซึ่งกระทรวง พม. มีความคาดหวังว่าในท้องถิ่น โดยเฉพาะหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ ต้องเร่งดำเนินการและขยายลงไปในพื้นที่ และหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องต้องทำเป็นต้นแบบ เพราะการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศไม่ได้อยู่แค่เฉพาะในกรุงเทพมหานครเท่านั้น ควรจะเร่งขยายลงไปในพื้นที่ต่างๆ ทั่วภูมิภาคด้วย” นายอนุกูล กล่าวในตอนท้าย