“eeebooking.com” ประกาศเป็นตัวเป็น National Platform หนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย พลิกตัวกลับมาโตอย่างก้าวกระโดด ในปี 2566

“eeebooking.com” (อีบุ๊คกิ้ง ดอทคอม) แพลตฟอร์มการจองสัญชาติไทยที่ ง่าย ครบ จบทุกการจองสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวไทยตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ด้วยขั้นตอนการจองบริการต่าง ๆ เพียงไม่กี่ขั้นตอนและสะดวกต่อการเข้าใช้บริการตอบไลฟสไตล์ของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติในยุคดิจิทัล

คุณภาณุเมศวร์ เศรษฐสิริสุนทร (อี้) ตำแหน่ง Executive Chairman เปิดเผยว่า กว่า 2 ปี ที่ผ่านมา การท่องเที่ยวไทยและทั่วโลกต้องประสบกับวิกฤตการที่จำเป็นต้องหยุดทุกอย่างเพื่อควบคุมโลกระบาด ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่ในโลกออนไลน์มากขึ้น เฉลี่ย 5-10 นาทีต่อครั้งต่อคน เพื่อค้นหาสินค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการ ในส่วนของการท่องเที่ยวเองก็เป็นเรื่องที่มีคนพูดถึงอย่างมากเรื่องการค้นหาสถานที่ต่าง ๆ และเมื่อคลายล็อคดาวน์แล้ว สถานการณ์ต่าง ๆ กลับสู่สภาวะปกติ นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ประเทศไทยเองก็เพิ่งได้ฉลองนักท่องเที่ยว 10 ล้านคนแรกไปเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา 

และจากสถิติของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พบว่า ปริมาณนักท่องเที่ยวยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไฟล์ทบินเพิ่มขึ้น อัตราการจองห้องพักเพิ่มขึ้น และแน่นอนว่าการจับจ่ายและการมองหาบริการด้านการท่องเที่ยวก็เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน

eeebooking.com มองเห็นว่าการจองที่ซับซ้อนของนักท่องเที่ยว รวมถึงความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์มเป็นเรื่องที่สำคัญของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองไทย ดังนั้น วันนี้เราจึงเปิดตัวด้วยการจองแพ็คเกจเทศกาลดนตรีฮิปฮอประดับโลกที่จะมาจัดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทยและเอเชียในเดือนเมษายน 2566 ชื่องาน “Rolling Lound Thailand 2023” และจะอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาได้เลือกบริการท่องเที่ยวอื่น ๆ ได้อย่างอิสระ เพิ่มโอกาสให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยไปพบกับท่องเที่ยวได้ง่ายขึ้น 

รวมไปถึงภาคอุตสาหกรรม “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” (Medical Tourism) ที่เป็น Mega Trend ของโลกในปัจจุบัน ผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “เมืองหลวง Wellness โลก” ซึ่ง eeebooking.com จะทำหน้าที่รวมบริการต่าง ๆ เพื่อนำเสนอต่อนักเที่ยวทั่วโลกต่อไป

eeebooking.com ตั้งเป้าเป็นแพลตฟอร์มหลักที่จะส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการ ทุกประเภท ด้วย กลยุทธ์ทางการตลาด และทีมงานมืออาชีพ ออก E-ticket กว่า 300,000 รายการ และยอดขายรวมกว่า 300 ล้านบาท ในปี 2566

ดร.ฐิติพร ฌานวังศะ (อาจารย์พีค) Expert and Management Consultant innovation and organizational design เปิดเผยว่า กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตแบบก้าวกระโดดกระจายโอกาส กระจายรายได้ และนำความมั่งคั่งไปสู่ชุมชนในท้องถิ่นอย่างทั่วถึง ความเข้มแข็งและความร่วมมือที่เอื้อประโยชน์ต่อทุกฝ่ายเป็นเรื่องสำคัญ เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จของการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างมาก โดยการพัฒนาของเทคโนโลยีนั้นทำให้เกิดสินค้าและบริการรูปแบบใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้มากขึ้นจนสามารถ Disrupt ผู้เล่นเดิมในอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตามหากผู้ประกอบการไม่เปิดรับและก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลงก็อาจเป็นการ Disrupt ตัวเองก่อนจะถูก Disrupt เสียอีก eeebooking.com จึงเป็นแพลตฟอร์มที่เข้ามาเป็นตัวเปลี่ยนเกมส์หลักที่จะส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว ธุรกิจ บริการ ตอบโจทย์ทุกไลฟสไตล์ ให้ทุกวงการธุรกิจมาใช้พื้นที่ มาเป็นส่วนหนึ่ง

วันนี้เรียกได้ว่าโลกได้ปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว โดยเทคโนโลยีดิจิทัลเหล่านี้ล้วนแต่รายล้อมอยู่รอบตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่เพียงแค่นี้เทคโนโลยียังเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อชีวิตของทุกคน จนเรียกได้ว่าสมานรวมกันกลายเป็นวิถีชีวิตประจำวันไปแล้ว หลายธุรกิจเริ่มเข้าสู่โลกของ e-Commerce หรือการซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์ รวมไปถึงการเข้าสู่ยุค Data Driven ที่ใช้ข้อมูลในการนำมาพัฒนาธุรกิจให้ตอบรับความต้องการของผู้บริโภคแบบรายบุคคล 

นั่นจึงทำให้ธุรกิจต้องมองหา Solution ที่จะสามารถตอบความต้องการของธุรกิจด้วยเช่นกัน นั่นจึงทำให้ eeebooking.com ในฐานะธุรกิจที่เชื่อมโยงผู้บริโภคและหลากหลายธุรกิจเข้าไว้ด้วยกัน ผ่านเทคโนโลยีที่ทุกคนและทุกธุรกิจสามารถเข้าถึงได้ ต้องเตรียมตัวรับมือกับความต้องการที่เปลี่ยนไปของทั้งผู้บริโภคและธุรกิจ ภายใต้แนวคิด “eeebooking” escape explore experience จะเห็นได้ว่า “eeebooking” จึงไม่ใช่แค่กลยุทธ์หรือแนวคิดในการทำธุรกิจ แต่เป็นแนวทางดำเนินธุรกิจในรูปแบบความร่วมมือกับพันธมิตร ซึ่งจะเป็นการเติบโตไปด้วยกันทุกๆ ฝ่าย รวมไปถึงผู้บริโภคและสังคมอีกด้วย ซึ่งจะทำให้การเติบโตกระจายไปยังธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกัน และผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์สูงสุด

โดยในงานดังกล่าว ได้รับเกียรติจากผู้บริหารหน่วยงานพันธมิตรเข้าร่วมงานจำนวนมาก ได้แก่ คุณชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ดร.ศุภชัย แก้วศิริ ประธานสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย และคุณศิริญา เทพเจริญ ผู้บริหาร บมจ.ณุศาศิริ พร้อมด้วยคู่ค้ารายสำคัญอีกหลายรายที่เตรียมตบเท้าเข้ามาเป็นพันธมิตรกับ eeebooking.com

ติดตามและเข้ามาจับจองผ่านแพลตฟอร์มสัญชาติไทยได้ที่ www.eeebooking.com

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ LineOA : @eeebooking

Share:

ททท.แม่ฮ่องสอน เชิญชวนร่วมงานประเพณี ปอยส่างลอง ประจำปี 2566

ประเพณีปอยส่างลอง เป็นมนต์เสน่ห์หนึ่งในงานประจำปีเลื่องชื่อของชาวไทใหญ่แห่งเมืองสายหมอก ซึ่งนอกจากจะมากไปด้วยสีสันงดงามเป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังเป็นงานบุญที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งศรัทธาอันทรงคุณค่า และได้ขยายไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ อาทิ จังหวัด เชียงใหม่ เชียงราย โดยจังหวัดแม่ฮ่องสอนนับเป็นต้นแบบของการจัดประเพณีปอยส่างลองของประเทศไทย 

ประเพณีปอยส่างลอง คือการ บวชลูกแก้ว หรือบรรพชาสามเณรในช่วงฤดูร้อน จะจัดขึ้นปีละ 1 ครั้ง ทุกปี ระหว่างเดือน มีนาคม-เมษายน ซึ่งเป็นช่วงว่างเว้นจากการทำนา และมึความอุดมสมบูรณ์ในเรื่องของอาหาร และเป็นช่วงที่เด็ก ๆ เยาวชนปิดเทอม เพื่อให้บุตรหลานได้ศึกษาเรียนรู้พระธรรม รวมทั้งได้เจริญจิตภาวนา และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ การได้บวชส่างลอง เป็นความเชื่อของชาวไทใหญ่ ที่ได้ยึดถือปฏิบัติและสืบทอดต่อกันมาเป็นเวลาช้านาน ซึ่งมีความเชื่อว่าจะได้รับอานิสงส์ผลบุญสูงสุด จนกลายเป็นหนึ่งในประเพณีที่ทรงคุณค่าของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ถือคติในการบวชเณรที่จำลองแบบมาจากพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าตอนเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก่อนออกผนวช จึงต้องแต่งกายส่างลองกันให้สง่างาม ตามแบบกษัตริย์พม่าโบราณ นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อมีชายเชิงงอนปักดิ้นไหม ประดับด้วยเพชรนิลจินดา ทั้งสร้อย กำไล และแหวน ศรีษะโพกด้วยผ้าแพรและประดัฐด้วยดอกไม้ มีคนคอยกางร่มทองคำกันแดด มีพี่เลี้ยงส่วนตัวคอยดูแลส่างลองอย่างใกล้ชิด ซึ่งจัดงานเป็นประจำทุกปีแสดงถึงความศรัทธาอันแรงกล้าต่อพระพุทธศาสนาของชุมชนท้องถิ่นชาวไทยใหญ่ ตลอดจนเป็นการสืบสานขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามที่เป็นเอกลักษ์ให้คงอยู่สืบไป โดยเฉพาะขบวนแห่ส่างลอง (แห่ครัวหลู่) นับได้ว่ามีความสวยงามตามแบบประเพณีโบราณของชาวไทยใหญ่ หรือชาวไต อย่างแท้จริง ซึ่งมีพิธีกรรมทางพุทธศาสนา ทำให้ประเพณีปอยส่างลองได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวยังจังหวัดแม่ฮ่องสอน พร้อมกับการร่วมทำบุญสืบสานงานประเพณีดังกล่าวด้วย โดยในปี 2566 นี้ ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีกำหนดจัดงานประเพณีปอยส่างลองในหลายพื้นที่ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ดังนี้

วันแรก เรียกว่า วันรับส่างลอง

ในตอนเช้าเจ้าภาพส่างลองจะนำบรรดาเด็กชายไปวัด เพื่อแต่งชุดส่างลองด้วยการนุ่งโจงกระเบนสีสดปล่อยชายด้านหลังยาวจับกลีบ คาดด้วยเข็มขัดนาคหรือเงิน สวมเสื้อแขนกระบอกโค้งงอน เสื้อปักฉลุลายดอกไม้สีต่างๆ ศีรษะโพกผ้าแพรเกล้ามวยเสียบด้วยดอกไม้ เช่น ดอกเอื้องคำ หรือดอกไม้อื่นๆ แต่งหน้าส่างลองด้วยการ เขียนคิ้ว ทาปาก สีแดง และสวมถุงเท้าสีขาว ถือเป็นการแต่งตัวอลองเต็มตัว พระสงฆ์ให้ศีลให้พรอบรมสั่งสอน จากนั้น “ตะแป ส่างลอง” หรือผู้ให้ขี่คอ นำส่างลองไปนมัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่น ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ศาลหลักเมือง เจ้าคณะจังหวัด และญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ในขบวนจะมี “ทีคำ” หรือร่มทองคำกางกั้นบังแดดให้ส่างลอง

วันที่ 2 เรียกว่า วันแห่ครัวหลู่

เป็นวันแห่งเครื่องไทยทาน มีการแห่ส่างลองกับเครื่องไทยทานจากวัดปางล้อไปตามถนนสายต่างๆ ในช่วงเช้ามีผู้มีจิตศรัทธาร่วมขบวนมากมายเพื่อช่วยกันแบกหามเครื่องอัฐบริขาร เครื่องไทยธรรม ทั้งเล็กและใหญ่ ขบวนแห่ประกอบด้วยจีเจ่ (กังสดาล) ม้าเจ้าเมือง ต้นตะเป่ส่าพระพุทธ ต้นตะเป่ส่าพระสงฆ์ ปุ๊กเข้าแตก เทียนเงินเทียนทอง พุ่มเงินพุ่มทองอู่ต่องปานต่อง หม้อน้ำต่า อัฐบริขาร ดนตรีประโคมและขบวนแห่ส่างลอง โดยให้ส่างลองขี่คอพี่เลี้ยงเรียกว่า “ตะแปส่างลอง” มีกลดทองหรือ “ทีคำ” แบบพม่าไว้บังแดด ตอนเย็นมีการแสดงมหรสพสมโภชตามประเพณีไตที่วัดต่างๆ

วันที่ 3 เรียกว่า วันข่ามส่าง หรือวันหลู่

เป็นวันบรรพชาสามเณรและถวายเครื่องไทยทานแก่พระภิกษุสงฆ์ และเลี้ยงอาหารไต แก่ผู้ที่มาร่วมงาน เป็นอันเสร็จสิ้นพิธี

โดยมีกำหนดจัดงานประเพณีปอยส่างลองในพื้นที่ต่างๆ ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนดังนี้

อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน วันแห่คัวหลู่

- 22-25 มีนาคม 2566 ณ วัดแม่สะกึ๊ด ( 24 มีนาคม เวลา 07.00 น.)

- 26-31 มีนาคม 2566 ณ วัดนาป่าแปก ( 30 มีนาคม เวลา 07.00 น.)

- 3 – 5 เมษายน 2566 ณ วัดปางล้อ ( 4 เมษายน เวลา 07.00 น.)

- 3 – 5 เมษายน 2566 ณ วัดห้วยขาน ( 4 เมษายน เวลา 07.00 น.)

- 22-24 เมษายน 2566 ณ วัดในสอย ( 23 เมษายน เวลา 07.00 น.)

อำเภอปาย วันแห่คัวหลู่

- 3 – 5 เมษายน 2566 ณ วัดป่าขาม ( 4 เมษายน เวลา 16.00 น.)

- 5 – 7 เมษายน 2566 ณ วัดแม่นาเติงใน ( 6 เมษายน เวลา 16.00 น.)

- 29 เมษายน – 2 พฤษภาคม 2566 ณ วัดม่วงสร้อย ( 1 พฤษภาคม เวลา 16.00 น.)

อำเภอแม่สะเรียง วันแห่คัวหลู่

- 2 – 4 เมษายน 2566 ณ วัดศรีบุญเรือง ( 3 เมษายน เวลา 16.00 น.)

- 7 – 9 เมษายน 2566 ณ วัดสุพรรณรังษี ( 8 เมษายน เวลา 16.00 น.)

อำเภอปางมะผ้า วันแห่คัวหลู่

- 20-22 มีนาคม 2566 ณ วัดแม่ละนา ( 21 มีนาคม เวลา 07.00 น.)

- 25-28 มีนาคม 2566 ณ สำนักสงฆ์ถ้ำพญางู ( 27 มีนาคม เวลา 07.00 น.)

อำเภอขุนยวม วันแห่คัวหลู่

- 29 มีนาคม – 1 เมษายน 2566 ณ วัดต่อแพ ( 31 มีนาคม เวลา 15.00 น.)

- 3-5 เมษายน 2566 ณ วัดคำใน ( 4 เมษายน เวลา 15.00 น.)

อำเภอแม่ลาน้อย วันแห่คัวหลู่

- 5 – 8 เมษายน 2566 ณ วัดดอยแก้ว ( 7 เมษายน เวลา 16.00 น.)

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานแม่ฮ่องสอน ขอเชิญนักท่องเที่ยวทั่วประเทศมาร่วมชื่นชมความสวยงามของวัฒนธรรมชาวไทยใหญ่และขบวนแห่ส่างลองอันยิ่งใหญ่ตระการตาในงานประเพณีปอยส่างลอง ประจำปี 2566 ณ จังหวัดแม่ฮ่องสอน 


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
ททท.สำนักงานแม่ฮ่องสอน เลขที่ 4 ถนนราชธรรมพิทักษ์ ตำบลจองคำ อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน 58000 โทรศัพท์ 0 5361 2982 - 3 โทรสาร 0 5361 2984 ในวันเวลาราชการ อีเมล์ tatmhs@tat.or.th Facebook : ททท.สำนักงานแม่ฮ่องสอน (TAT Maehongson)

Share:

“หมอวิน-เวชพิสิทธิ์” เผย “ศาสตร์แห่งความงาม”พร้อมอัปเดตเทรนด์ 2023 กับการปรับรูปหน้าย้อนวัย ยกกระชับล็อคอายุด้วยเทคนิคพิเศษเติมเต็มถึงชั้นกระดูก

Doctor Win Clinic เป็นคลินิกสุขภาพและความงาม ที่เน้นด้านการปรับรูปหน้าด้วยเทคนิคเติมเต็มถึงชั้นกระดูก เป็นการเติมเต็มด้วยฟิลเลอร์เป็นหลัก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เรียบเนียนเป็นธรรมชาติ โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผ่านการอบรมและพัฒนาความรู้ เพื่อนำมาต่อยอดทางด้านการปรับรูปหน้าจากสถาบันชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ Doctor Win Clinic ยังมีความปลอดภัย อีกทั้งนวัตกรรมและอุปกรณ์ที่มีคุณภาพสูงและทันสมัยตามมาตรฐานสากล รวมถึงการบริการระดับพรีเมี่ยม โดย นายแพทย์เวชพิสิทธิ์ พนาวร (หมอวิน) เป็นผู้ก่อตั้งและบริหารงาน นอกจากนี้ยังเป็นแพทย์ประจำคลินิกอีกด้วย ในครั้งนี้ หมอวิน-เวชพิสิทธิ์ ได้จัดงาน Science of Beauty : ศาสตร์แห่งความงาม พร้อมอัปเดตเทรนด์การดูแลความงามในปี 2023 กับการย้อนวัยและล็อคหน้าให้คงที่ ด้วยแนวคิด ”ความงามคือการเติมความรู้สึกดีดี ให้กับตัวเอง” ณ ห้อง Studio R8 โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ ราชประสงค์


โดย หมอวิน-นายแพทย์เวชพิสิทธิ์ พนาวร ผู้ก่อตั้ง Doctor Win Clinic และบริหารงาน
ได้กล่าวว่า “ในปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่นิยมรับการดูแลเรื่องปรับรูปหน้าและยกกระชับ ซึ่งตรงกับเทรนด์ความงามในปีนี้ 2023 คือ การย้อนวัยสำหรับผู้ที่มีอายุและริ้วรอย และการล็อคอายุหน้าให้ดูเด็กลงหรืออายุเท่าเดิม ซึ่งมีหลากหลายวิธีให้คนไข้ได้เลือกใช้บริการ แต่ที่นิยมส่วนใหญ่ก็คือ การผ่าตัดศัลยกรรม และหัตถการ ซึ่งเป็นการใช้สารเติมเต็มเพื่อแก้ไขและปรับรูปหน้าให้เหมาะสมตรงกับความต้องการ สำหรับการปรับรูปหน้าด้วยวิธีหัตถการนี้มีข้อดีคือ ใช้เวลาไม่นาน ไม่ต้องพักฟื้น สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่คนไข้บางท่านอาจจะต้องหลีกเลี่ยงตามคำสั่งแพทย์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัญหาของคนไข้แต่ละคนด้วย การฉีดสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์สมัยนี้แตกต่างจากเดิม เมื่อก่อนคนไข้กังวลจุดไหนก็จะเติมที่จุดนั้น อย่างใต้ตาหรือร่องแก้มก็จะฉีดเติมเข้าไปแค่จุดที่ต้องการ แต่ในปัจจุบันจะเป็นการปรับแก้ไขรูปหน้าไปพร้อมกัน เพื่อให้ดูเรียบเนียนเป็นธรรมชาติมากที่สุด และในการฉีดสารเติมเต็มเข้าไป 1 ครั้ง สามารถอยู่ได้ 1 - 2 ปี จึงทำให้วิธีหัตการนี้กลายเป็นเทรนด์ที่กำลังนิยมสำหรับคนไข้ที่รับการรักษา

แต่ว่าการรักษาด้วยสารเติมเต็มเป็นหัตการที่ไม่ง่าย ในการลงตัวยาแต่ละจุดนั้นมีผลทั้งหมด แม้กระทั่งตัวยาขนาด 0.1 CC ก็มีผลทำให้ทิศทางของแสงหรือเงาที่ตกกระทบเปลี่ยนไป เปรียบเสมือนว่าเอาสารเติมเต็มมาปรับรูปหน้า ดังนั้นถ้าองศาเปลี่ยนนิดเดียวก็มีผลกับคนไข้ เพราะฉะนั้นประสบการณ์และความชำนาญของแพทย์จึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้ผลการรักษาออกมาดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด และยังรวมไปถึงสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์ที่นำมาใช้ด้วยว่า ได้มาตรฐานและน่าเชื่อถือหรือไม่ เพราะถ้าใช้สารที่ไม่ได้มาตรฐานอาจจะทำให้เกิดปัญหา ผิวหน้าอักเสบ หรือปัญหาอื่น ๆ ตามมาก็ได้

ในการรักษาในแต่ละเคสนั้น หมอจะต้องทำความเข้าใจกับคนไข้ถึงความต้องการที่แท้จริงก่อน การรักษาด้วยสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์นั้น เป็นการแก้ไขปัญหาของกระดูกและชั้นไขมันที่บกพร่อง ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ เวลายุบก็จะยุบพร้อมกันเกือบทั้งใบหน้า เพราะฉะนั้นการแก้ไขก็ต้องปรับแก้บริเวณใกล้เคียงไปพร้อมกัน เพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติมากกว่าการฉีดเข้าไปเพียงจุดเดียว เพราะฉะนั้นการฉีดฟิลเลอร์เข้าไปจะใช้เทคนิคที่เน้นการปรับรูปหน้าโดยรวม โดยเน้นเรื่องการยกกระชับก่อนการเติมเต็ม อย่างเคสคนไข้ที่มีปัญหาร่องลึกของใต้ตา หมอก็จะยกส่วนของโหนกแก้มหรือบริเวณขมับเพื่อให้หน้าดูยกขึ้นก่อน แล้วค่อยเติมฟิลเลอร์ที่ใต้ตาซึ่งจะใช้ปริมาณยาที่น้อยลง จึงทำให้รูปหน้าโดยรวมไม่แข็งและดูเป็นธรรมชาติมากกว่า ส่วนใหญ่หลังจากทำออกมาแล้วคนไข้จะพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้

เคสที่เข้ามาให้หมอแก้ไขที่ยากที่สุดคือ คนไข้ที่ผ่านการผ่าตัดศัลยกรรมมาหลายครั้ง เพราะด้านในมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของรูปหน้า รวมถึงมีผังผืดและเส้นเลือดที่เป็นผลข้างเคียงหลังผ่าตัด จึงทำให้หมอต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ถ้าไม่ใช่หมอเฉพาะทางจริง ๆ หรือมีความชำนาญก็จะยิ่งทำให้คนไข้มีความเสี่ยงสูง ทั้งนี้จึงต้องอาศัยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยเฉพาะ สิ่งที่อยากแนะนำผู้ที่ต้องการจะปรับเปลี่ยนรูปหน้าให้ดูสวยเป็นธรรมชาติด้วยวิธีหัตถการนี้ ต้องศึกษาให้ดี เลือกคลินิกที่มีคุณภาพ เวชภัณฑ์หรือสารเติมเต็มที่ดี เครื่องมือที่ได้มาตรฐานสากล รวมถึงแพทย์เฉพาะทางที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่าเรื่องของราคา โปรโมชั่น และการโฆษณาที่ดูเกินจริง ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง และผลลัพธ์ที่ได้หลังจากการรักษา

สำหรับ Doctor Win Clinic ให้บริการด้านเติมฟิลเลอร์ใต้ตา และยกกระชับปรับรูปหน้าย้อนวัย ด้วยเครื่องยกกระชับ Ultraformer iii แบบ High intensity focus ultrasound เหมาะกับบริเวณผิวใบหน้า ช่วยสลายไขมันที่ใต้ชั้นผิว ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย แก้ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นบริเวณรอบดวงตา หน้าผาก ร่องแก้ม ร่องมุมปาก บริเวณคอ ให้ดูเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ยังดูแลเรื่องผิวพรรณ รวมถึงการศัลยกรรมเล็กการทำตาสองชั้นเป็นต้น สำหรับผู้ที่มีปัญหาหรืออยากปรับรูปหน้าให้เรียบเนียนเป็นธรรมชาติ สามารถเข้ามาปรึกษากับหมอหรือทีมแพทย์ของเราก่อนรับการรักษาได้นะครับ ทาง Doctor Win Clinic อยากช่วยเติมเต็มสิ่งดี ๆ ให้กับทุกท่านครับ” หมอวิน-เวชพิสิทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย

สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 065 669 1695 หรือติดตามรายละเอียดได้ที่ https://www.facebook.com/doctorwinclinic/?locale=th_TH 

Share:

UNHCR ขยายความร่วมมือ “โครงการรอมฎอนนี้เพื่อพี่น้องและทานประจำปีซะกาต ปีที่ 6” ไปยังหลากหลายภาคส่วนในประเทศไทย เพื่อเพิ่มความช่วยเหลือท่ามกลางวิกฤตผู้ลี้ภัยทั่วโลก

สงคราม ความขัดแย้ง ความรุนแรง และการประหัตประหาร บังคับให้ผู้คนมากกว่า 103 ล้านคนทั่วโลกต้องพลัดถิ่นจากบ้านของตนเองเพื่อแสวงหาความปลอดภัย ซึ่งเป็นสถิติที่สูงที่สุดในประวัติการณ์ โดยกว่าครึ่ง คือชาวมุสลิม ท่ามกลางสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งใหม่ วิกฤตเดิมยังคงไม่สิ้นสุด รวมถึงวิกฤตที่ทับซ้อนวิกฤตทั่วโลก เช่น เหตุแผ่นดินไหวครั้งล่าสุดที่ทูร์เคียและซีเรีย ส่งผลให้ชาวซีเรียต้องพลัดถิ่นอีกครั้งท่ามกลางสงครามที่ยาวนานกว่า 12 ปี รวมถึงผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาในประเทศบังคลาเทศที่กำลังไร้ที่อยู่อาศัยจากเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ผ่านมา

“พันธกิจของเราคือการมอบความช่วยเหลือในวิกฤตด้านมนุษยธรรมทั่วโลก รวมถึงในเหตุขัดแย้งและวิกฤตทางสภาพภูมิอากาศ เช่น ในประเทศซีเรีย เยเมน หรือจะงอยแอฟริกา ซึ่งส่งผลกระทบและทำให้ผู้คนต้องพลัดถิ่นหลายล้านคน” คุณจูเซ็ปเป้ เด วินเซ็นทีส ผู้แทนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย กล่าว “เราจึงต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคมเพื่อขยายความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และมอบความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่น เพื่อให้เราสามารถมอบความคุ้มครองแก่พี่น้องผู้ลี้ภัยที่กำลังทุกข์ยากต่อไป”

สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ได้ริเริ่ม “โครงการรอมฎอนนี้เพื่อพี่น้องและทานประจำปีซะกาต” ขึ้นในประเทศไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2561 ร่วมกับ สำนักจุฬาราชมนตรี เพื่อสร้างการรับรู้และการระดมทุนทานประจำปีซะกาตและซอดาเกาะห์ ซึ่งเป็นการบัญญัติขึ้นตามหลักศาสนาอิสลามเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ยาก และมอบความคุ้มครองแก่ผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นชาวมุสลิมทั่วโลก ผ่านโครงการเงินช่วยเหลือฉุกเฉินให้พวกเขาสามารถตอบสนองความจำเป็นในชีวิตประจำวันได้ในเดือนรอมฎอนอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ซึ่งในปีนี้ พวกเขากำลังจะศีลอดในช่วงเวลาที่มีความท้าทายถึงขีดสุดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยวิกฤตเศรษฐกิจโลก ความยากจน ความขาดแคลนด้านอาหาร ภัยพิบัติและภาวะฉุกเฉินด้านสภาพภูมิอากาศ รวมถึงงบประมาณและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่ไม่เพียงพอ

“ผู้ลี้ภัยชาวมุสลิมหลายล้านคนต้องถือศีลอดในเดือนรอมฎอนนี้อย่างยากลำบากที่สุดท่ามกลางสถานการณ์โลกที่มีความท้าทายเกิดขึ้นใหม่ ความยากจนที่ทวีความรุนแรงจากสงครามและความขัดแย้งที่ยาวนาน ภัยธรรมชาติที่คาดการณ์ไม่ได้ งบประมาณที่ไม่เพียงพอ และความไม่มั่นคงทางอาหารโลก ขอพี่น้องมุสลิมทุกคนไม่ลืมผู้ลี้ภัย และยังคงเป็นมือบนที่ไม่ปล่อยมือจากพวกเขา มอบความช่วยเหลือแก่ครอบครัวที่ขาดแคลนในช่วงเวลาที่ยากลำบาก และเพิ่มความหวังในหัวใจของชาวมุสลิมในเดือนอันศักดิ์สิทธิ์นี้” อาจารย์ซากีย์ พิทักษ์คุมพล รองเลขานุการจุฬาราชมนตรี กล่าว 

ในการรับบริจาคทานประจำปีซะกาต UNHCR ทำงานร่วมกับมูลนิธิทาบาห์ องค์กรชั้นนำทางศาสนา และได้ขยายการรับรองระดับโลกจากนักวิชาการศาสนา (นักฟัตวา) มากถึง 15 ท่าน จาก 10 ประเทศ เช่น อียิปต์ เยเมน โมร็อกโก มอริเตเนีย รวมถึงประเทศไทย เพื่อรับรองหน่วยงานว่ามีคุณสมบัติในการรับทานซะกาตและสามารถมอบความช่วยเหลือนี้โดยตรงแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากสงคราม ได้แก่ผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นชาวมุสลิม ให้พวกเขาได้มีอาหารที่พอเพียง น้ำสะอาดไว้ใช้และดื่ม ที่พักพิงที่ปลอดภัย และเงินสมทบช่วยเหลือ

ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบชะรีอะฮ์ ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของหลักคุณธรรมและส่งเสริมความเสมอภาคของสังคม ธนาคารมีบริการจัดการซะกาตให้แก่ลูกค้า โดยมุ่งเน้นจัดสรรให้กับบุคคลที่มีสิทธิ์รับซะกาตภายในประเทศ การร่วมมือกับ UNHCR ซึ่งมีจุดมุ่งหมายการทำงานเดียวกัน ธนาคารจะได้ขยายขอบเขตการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมสู่ระดับนานาชาติ โดยเฉพาะเรื่องผู้ลี้ภัย ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนระดับโลกตอนนี้เพื่อให้พวกเขาได้มีชีวิตที่ดีขึ้น และเพื่อให้ชาวไทยมุสลิมได้มีส่วนร่วมสร้างสังคมที่ดีขึ้นเพื่อเพื่อนมนุษย์ทุกคน ในช่วงเดือนรอมฎอนที่กำลังจะมาถึง” ดร. ทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการและผู้จัดการ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย กล่าวถึงความร่วมมือจากธนาคารอิสลามด้านความรับผิดชอบต่อสังคมโลก

ตลอดโครงการฯ ทานซะกาตและซอดาเกาะห์ที่จัดทำขึ้นทั่วโลก ทำให้ UNHCR มอบความช่วยเหลือแก่ครอบครัวผู้ลี้ภัยไปแล้วมากกว่า 6 ล้านคน ใน 26 ประเทศทั่วโลก เช่น อัฟกานิสถาน อิรัก ปากีสถาน บังคลาเทศ มาเลเซีย เยเมน และไนจีเรีย เป็นต้น ในปีที่ 6 นี้ UNHCR และ สำนักจุฬาราชมนตรี ได้ขยายความร่วมมือกับสู่องค์กรภาคีเพื่อมนุษยธรรมจากธนาคารชะรีอะห์ สื่อพันธมิตร และเยาวชนรุ่นใหม่ในประเทศไทย ขับเคลื่อนการกระตุ้นการระดมทุนทานประจำปีอย่างต่อนื่อง เพิ่มความช่วยเหลือถึงผู้ลี้ภัยชาวมุสลิมทั่วโลกที่กำลังพลัดถิ่นจากวิกฤตที่ยาวนานอย่างยั่งยืน

“รอมฎอนมีความหมาย มากกว่าช่วงเวลาสำคัญในศาสนา แต่หมายถึงการให้การแบ่งปันเพื่อเพื่อนมนุษย์ทุกคน การจับมือครั้งสำคัญระดับโลกกับ UNHCR ทำให้เราสามารถต่อยอดเนื้อหาอย่างสอดคล้องกับวิสัยทัศน์องค์กร เพื่อส่งเสริมสังคม คุณธรรม และจริยธรรม พร้อมขยายน้ำใจจากชาวไทยมุสลิมไปถึงพี่น้องของเราที่ต้องการความช่วยเหลืออีกหลายล้านคนทั่วทุกมุมโลก” คุณกฤษณพล พงศ์ธนาวรานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวีบูรพา กรุ๊ป จำกัด 

โคงการรอมฎอนนี้เพื่อพี่น้องและทานประจำปีซะกาต ปีที่ 6 ยังได้รับความร่วมมือจากสื่อพันธมิตรใหม่เพื่อเข้าร่วมชุมชนแห่งการให้

“สื่อมีส่วนสำคัญในการสร้างการรับรู้ สนับสนุนการระดมทุน และส่งเสริมการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อให้บุคคลทั่วไปได้มีโอกาสเข้าใจเรื่องราวของผู้ลี้ภัยชาวมุสลิมมากขึ้น ผมอยากให้ทุกคนร่วมเป็นกระบอกเสียงส่งต่อการรับรู้เหล่านี้ เป็นสะพานบุญช่วยเหลือพี่น้องของเราทั่วโลกให้ได้มากที่สุด เพื่อให้พวกเขาสามารถมีเดือนอันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้อย่างมีความสุขเช่นเดียวกับเรา” คุณวิทยากร อิสมาแอล บรรณาธิการบริหาร Halal Life Magazine เสริมถึงการสื่อสารโดยตรงกับกลุ่มพี่น้องชาวไทยมุสลิม

ท่ามกลางสถานการณ์โลกรอบด้านที่ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยชาวมุสลิมต้องเผชิญวิกฤตอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “โครงการรอมฎอนนี้เพื่อพี่น้องและทานประจำปีซะกาต” จะช่วยมอบงบประมาณให้ UNHCR สามารถจัดสรรทรัพยากรทางการเงินอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน และนำทานซะกาตทั้งหมด 100% ไปช่วยเหลือผู้ลี้ภัยที่ตรงตามคุณสมบัติที่ควรได้รับภายใต้การดูแลและตรวจสอบอย่างเข้มงวดเพื่อความโปร่งใสในทุกขั้นตอนตั้งแต่การบริจาคจนถึงการให้ 

ในเดือนรอมฎอนอันศักดิ์สิทธิ์นี้ โปรดอย่าลืมผู้ลี้ภัย ร่วมบริจาคทานของท่านได้ที่เว็บไซต์ www.unhcr.org/th 

#EveryGiftCounts #UNHCRThailand #WithRefugees #รอมฎอน 

Share:

สดช. ผนึก ม.เทคโนโลยีมหานคร มุ่งพลิกโฉมประเทศไทยสู่ ‘ผู้สร้าง’ ในเวทีการพัฒนาเทคโนโลยีดาวเทียมและอวกาศ ภายใต้กิจกรรมขององค์การความร่วมมือด้านอวกาศแห่งเอเชียแปซิฟิก (APSCO)

เมื่อพูดถึงดาวเทียมหรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับอวกาศ คนส่วนใหญ่มักมองเป็นเรื่องไกลตัว แต่ความเป็นจริง ผลผลิตจากนวัตกรรมอวกาศแทรกซึมอยู่ในวิถีการใช้ชีวิตของผู้คนทั้งทางตรงและทางอ้อม ตั้งแต่ตื่นนอนที่สามารถรับชมรายการทีวีต่างๆ หรือขับรถออกจากบ้านก็สามารถใช้แอพพลิเคชันระบบนำทาง นอกจากนั้นเรายังสามารถคาดการณ์สภาพดินฟ้าอากาศที่ทำให้เรารู้ว่าเราควรต้องเตรียมตัวรับสภาพอากาศแบบไหน หรือการเตือนภัยพิบัติต่างๆ เช่น พายุ ไฟป่า หรือน้ำท่วม ทำให้สามารถป้องกันและบรรเทาการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งเราทุกคนได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอวกาศอยู่แล้วเพียงแต่ไม่รู้ตัว ขณะเดียวกัน ผู้คนส่วนใหญ่อาจยังไม่รู้ว่าประเทศไทยยังมีกิจการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอวกาศและอุตสาหกรรมต่อเนื่องกว่า 35,000 กิจการ โดย 95% เป็นวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม (SMEs) และ Start-up ซึ่งกิจการต่างๆ เหล่านี้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้กับประเทศ ประมาณ 56,122 ล้านบาทต่อปี

ดร.พรพรรณ ตันนุกิจ ผู้อำนวยการกองกิจการอวกาศแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.)
กล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลได้หลอมรวมกับเทคโนโลยีอวกาศมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีดาวเทียม ทำให้ต้นทุนการสร้างมีราคาถูกลง เพราะดาวเทียมไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่อีกต่อไป ผู้ที่สามารถออกแบบและสร้างดาวเทียมไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มของผู้เชี่ยวชาญที่มีองค์ความรู้ในด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมเท่านั้น ที่ผ่านมา เยาวชนไทยได้พิสูจน์ผลงานด้านการออกแบบและสร้างดาวเทียมขนาดเล็กในเวทีการแข่งขันระดับนานาชาติ คว้ารางวัลและสร้างเกียรติยศให้กับประเทศนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งประเทศไทยไม่เคยขาดคนเก่ง เพียงแต่เวทีที่จะสร้างโอกาสให้เยาวชนไทยได้แสดงศักยภาพยังมีอยู่จำกัด

รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสำคัญของการส่งเสริม
เพื่อสร้างขีดความสามารถของบุคลากรภายในประเทศด้านการออกแบบดาวเทียม การกำหนดภารกิจ การสร้างและประกอบดาวเทียมขนาดเล็ก เช่น ดาวเทียม CubeSat เนื่องจากดาวเทียมขนาดเล็กมีต้นทุนการผลิตต่ำแต่สามารถใช้งานตอบโจทย์ได้ทั้งเชิงพาณิชย์หรือภารกิจเฉพาะทางได้มากขึ้น และเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมเศรษฐกิจอวกาศยุคใหม่ หรือ New Space Economy ของประเทศไทย ซึ่งการได้ร่วมมือกับนานาชาติ เช่น องค์การความร่วมมือด้านอวกาศแห่งเอเชียแปซิฟิก (Asia-Pacific Space Cooperation Organization: APSCO) ส่งผลให้ได้ประโยชน์จากการถ่ายทอดองค์ความรู้ของเทคโนโลยีที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับการออกแบบและสร้างดาวเทียม ถือเป็นหนึ่งในกลไกหรือเครื่องมือเชิงนโยบายที่ใช้ผลักดันให้บุคลากรของประเทศไทยได้บูรณาการความรู้ในศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างดาวเทียม อาทิ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ มาใช้ในการประดิษฐ์และแก้ปัญหาผ่านการลงมือปฏิบัติจริง

โครงการ APSCO CubeSat Competition (ACC)
เป็นโครงการหนึ่งของ APSCO ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีการพัฒนาดาวเทียม CubeSat ให้แก่ประเทศสมาชิกทั้ง 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย จีน ปากีสถาน อิหร่าน เปรู มองโกเลีย บังคลาเทศและทูร์เคีย ผ่านการแข่งขันการสร้างดาวเทียมเชิงวิศวกรรม (Engineering Model) ที่มีขนาดรวมไม่เกิน 3U ภายในระยะเวลา 3 ปี เพื่อให้เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการมีโอกาสเรียนรู้ตั้งแต่การออกแบบภารกิจ การออกแบบดาวเทียม จนกระทั่งสามารถสร้างดาวเทียมเชิงวิศวกรรมได้ด้วยตนเอง โดยให้แต่ละประเทศสมาชิกทำการคัดเลือกทีมเยาวชนเข้าแข่งขันจำนวน 5 ทีม (ทีมละ 5 คน) ร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่มีการประเมินผลโดยผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ เพื่อให้ผลการสร้างดาวเทียมในขั้นตอนต่างๆ เป็นไปตามมาตรฐานสากล จากนั้นจึงทำการคัดเลือกหนึ่งทีมสุดท้ายที่มีศักยภาพสูงสุดของแต่ละประเทศสมาชิกเพื่อรับทุนสนับสนุนการสร้างดาวเทียมเชิงวิศวกรรมเป็นจำนวน 100,000 USD (ประมาณ 3 ล้านบาทเศษ)

การเปิดตัวโครงการ ACC-Thailand ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์
เพื่อสนับสนุนงานของโครงการ ACC ที่ สดช. รับผิดชอบในนามของประเทศไทย ซึ่ง สดช. ได้เล็งเห็นว่า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร เป็นศูนย์รวมขององค์ความรู้และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และมุ่งมั่นส่งเสริมเทคโนโลยีดาวเทียมและกิจการอวกาศมายาวนานกว่า 25 ปี จึงไว้วางใจเสนอให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานครรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพขับเคลื่อนโครงการ ACC-Thailand ตั้งแต่การประชาสัมพันธ์ การรับสมัคร การให้ความรู้เบื้องต้น การออกแบบกิจกรรม การแข่งขัน รวมถึงการเสริมทักษะที่จำเป็น เพื่อเฟ้นหาทีมเยาวชนที่มีศักยภาพจำนวน 5 ทีม เข้าร่วมกิจกรรมของโครงการ ACC ต่อไป อย่างไรก็ดี ทาง สดช. และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร เห็นพ้องต้องกันว่าในช่วงแรกของกิจกรรมในโครงการ ACC เป็นกิจกรรมออนไลน์ เห็นควรเพิ่มทีมเยาวชนอีก 5 ทีม รวมเป็น 10 ทีม เพื่อขยายโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมของเยาวชนผู้สนใจและเป็นการใช้ประโยชน์จากการเป็นภาคีสมาชิกของ APSCO ในอีกทางหนึ่ง ทั้งนี้เยาวชนที่ผ่านเข้ารอบแรกจะได้รับการอบรมการออกแบบดาวเทียมตามแนวคิด (Conceptual Design) จากผู้ทรงคุณวุฒิระดับนานาชาติ จากนั้นทั้ง 10 ทีมจะถูกคัดเลือกเหลือ 5 ทีมตัวจริง เพื่อเข้ากิจกรรมอื่นๆ ของ ACC ต่อไป

ACC-Thailand
จึงเป็นก้าวย่างสำคัญที่จะจุดประกายและเปิดโอกาสให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ผู้เชี่ยวชาญ และผู้สนใจได้ใช้ความรู้ ความสามารถในการออกแบบและสร้างดาวเทียม CubeSat ตลอดจนเป็นสะพานเชื่อมให้ภาคธุรกิจ/อุตสาหกรรมตระหนักถึงความเป็นไปได้ในการต่อยอดธุรกิจของตนด้วยเทคโนโลยีที่เยาวชนไทยสร้างขึ้น

สำหรับแนวโน้มด้านเทคโนโลยีอวกาศที่เกี่ยวข้องกับดาวเทียมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ผศ. ดร. ภานวีย์ โภไคยอุดม อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร มีความเห็นว่า มีความก้าวหน้าอย่างมาก โดยเฉพาะ จีน ญี่ปุ่น อินเดียและเกาหลีใต้ ที่สามารถสร้างและปล่อยดาวเทียมได้เอง โดยมีแนวโน้มที่จะมุ่งสร้างดาวเทียมขนาดเล็กในวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit: LEO) ที่มีน้ำหนักไม่เกิน 50 กิโลกรัม ที่ระดับความสูงจากพื้นโลกไม่เกิน 1,000 กิโลเมตร ด้วยเหตุผลด้านค่าใช้จ่ายในการสร้างและการนำส่งขึ้นสู่วงโคจรที่ไม่สูงมากนัก ใช้บุคลากรจำนวนน้อยและใช้เวลาพัฒนาไม่นาน ทำให้สามารถสร้างดาวเทียมได้จำนวนมากขึ้น ซึ่งเหมาะสำหรับการกำหนดภารกิจดาวเทียมแบบกลุ่ม (Satellite Constellation) ที่สามารถประยุกต์ใช้งานได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น และจะมีบทบาทอย่างมากในการขับเคลื่อนสังคมและยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งการใช้งานด้านการทหารและพลเรือน อาทิ งานด้านความมั่นคงหรือบังคับใช้กฎหมาย การจัดการเมืองอัจฉริยะ (Smart City) การเกษตรความแม่นยำสูง (Precision Agriculture) การตรวจติดตามและเฝ้าระวังภัยพิบัติ ทั้งไฟป่าหรือน้ำท่วม ตลอดรวมถึงเทคโนโลยีในอนาคต อย่างอินเทอร์เน็ตดาวเทียม (Satellite Internet) ที่เป็นการยกระดับการเชื่อมต่อสู่โลกอินเทอร์เน็ตอีกขั้น นั่นคือ สามารถเชื่อมต่อได้ตลอดเวลาถึงแม้โครงสร้างพื้นฐานของระบบเครือข่ายจะล้มเหลว เท่ากับเป็นการสร้างความมั่นใจและลดความสูญเสียของภาครัฐและเอกชน

โครงการ ACC-Thailand
จึงเป็นกิจกรรมสำคัญที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานครมุ่งมั่นให้เป็นเวทีประลองฝืมือสำหรับเยาวชนที่จะเป็นกำลังหลักของประเทศชาติในอนาคต และยังเป็นต้นแบบของกิจกรรมที่สามารถพัฒนาบุคลากรไปพร้อมกับเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังเช่น เทคโนโลยีอวกาศ ซึ่งกิจกรรมนี้ไม่เพียงสร้างเยาวชนให้มีศักยภาพแล้ว ยังผลักดันเยาวชนให้สามารถสร้างนวัตกรรมที่อาจเปลี่ยนโลกด้วยก็เป็นได้ ดร.ภานวีย์ กล่าวสรุป

ท้ายนี้ สดช. และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร
รวมถึงผู้เชี่ยวชาญจากทุกภาคส่วนในแวดวงเทคโนโลยีดาวเทียมและอวกาศ ต่างมุ่งหวังว่า ภารกิจของ ACC และ ACC-Thailand จะเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนและพลิกโฉมประเทศไทยจาก ‘ผู้ซื้อ’ สู่ ‘ผู้สร้าง’ ดาวเทียม ที่ไม่เพียงเป็นแค่ดาวเทียมวิจัยทดลอง แต่อาจเป็นดาวเทียมเชิงพาณิชย์ฝีมือคนไทย อันจะมีผลต่อการส่งเสริมเศรษฐกิจอวกาศยุคใหม่ของประเทศไทยในอนาคตและตอบโจทย์การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนในระยะยาว
Share:

เต็ดตรา แพ้ค เผยรายงาน “เทรนด์ดิพิเดีย” ประจำปี 2566 ชี้การเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ผู้บริโภคในปีนี้

กรุงเทพฯ (21 มีนาคม 2566) - เต็ดตรา แพ้ค ผู้นำด้านโซลูชันการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์อาหารชั้นนำของโลก เปิดเผยรายงาน “เทรนด์ดิพิเดีย” ประจำปี 2566 ที่แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค โดยในปีนี้ เต็ดตรา แพ้ค เน้นย้ำสี่เทรนด์หลักที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เทรนด์หลักที่ยังมีส่วนคล้ายคลึงกันกับปีที่ผ่านมา คือ In Control ซึ่งแสดงถึง ความต้องการควบคุมปัจจัยต่างๆ ในด้านสุขภาพ โดยใช้อาหารและเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพให้เข้ามามีบทบาท และมีเทรนด์ที่แตกต่างไปอย่าง Flexi-shopping ที่ผู้คนใช้จ่ายเงินไปกับการเลือกซื้อของอย่างรู้คุณค่ามากยิ่งขึ้น Eatertainment ชุมชนออนไลน์ที่สนุกไปกับการสร้างสรรค์และนำเทรนด์อาหารใหม่ๆ และ Local Reclaimed การกลับเข้าหาผลิตภัณฑ์ที่คุ้นเคยและสนับสนุนสินค้าท้องถิ่นไปพร้อมๆกัน

ในช่วงปี 2566 เป็นปีที่มีสถานการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งล้วนส่งผลถึงพฤติกรรมโดยรวมของผู้บริโภคทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น สถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ส่งผลให้ราคาวัตถุดิบอาหารเพิ่มขึ้นสูง ความตระหนักและให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม ที่ส่งผลให้มีการค้นหาออนไลน์ของสินค้าที่ส่งเสริมความยั่งยืนเพิ่มสูงขึ้นถึง 71% ในรอบ 5  ปีที่ผ่านมา รวมถึงการใช้เทคโนโลยีอย่างก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะในแง่ของสุขภาพ ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ส่งผลให้ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสิ่งที่เลือกซื้อมากขึ้น โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ราคา และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังเริ่มหันไปเลือกซื้อสินค้าและวัตถุดิบพื้นบ้านจากชุมชนมากยิ่งขึ้น ภาคอุตสาหกรรมจึงควรจัดหาสินค้าและบริการที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค หรือสนับสนุนการใช้วัตถุดิบจากแหล่งชุมชนและเกษตรกรมากยิ่งขึ้น 

เทรนด์หลักในปีนี้ ที่ยังมีความสอดคล้องกันกับเทรนด์ในปี 2565 อันดับแรก ได้แก่ เทรนด์ In Control ซึ่งผู้บริโภค ยังคงต้องการควบคุมสุขภาพของตนเอง แต่ในปีนี้ เป็นการควบคุมในรูปแบบของอาหารหรืออาหารเสริมที่ผู้บริโภคเลือกรับประทาน และใช้เทคโนโลยีตรวจวัดสุขภาพ ที่ผลักดันให้เลือกคุณค่าอาหารที่เหมาะกับแต่ละบุคคลมากขึ้น 

“เทรนด์ In Control สะท้อนถึงการที่ผู้บริโภคเลือกรับประทานอาหารเพื่อเป็นการเลือกสรรและควบคุมสิ่งต่างๆ ในชีวิตมากขึ้น ผู้บริโภคจะเลือกจับคู่อาหารหรืออาหารเสริมเพื่อสุขภาพ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด และเหมาะสมกับความต้องการทางสุขภาพส่วนบุคคล ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์หรือช่วงอายุต่างๆ ของชีวิต อีกทั้ง ผู้บริโภคยังใช้โซลูชันเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ ในการสังเกตและคาดการณ์สุขภาพโดยรวมของตน ทำให้ยิ่งมีความรอบคอบในสิ่งที่บริโภคมากขึ้น แบรนด์อาหารและเครื่องดื่ม จึงควรสื่อสารกับผู้บริโภคถึงคุณค่าและประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ลงบนกล่องบรรจุภัณฑ์อย่างชัดเจนและเรียบง่าย หรือหากมีคิวอาร์โค้ดที่ช่วยตรวจข้อมูลทางโภชนาการ ก็จะยิ่งเป็นการสร้างความรู้สึกแห่งการเลือกสรรและควบคุมได้ต่อลูกค้ามากยิ่งขึ้น” คุณสุทธินันท์ เตชะทยานนท์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

เทรนด์หลักที่มีการเปลี่ยนแปลงลำดับที่สอง คือเทรนด์ Flexi-Shopping อิสรภาพในการเลือกชอปที่ยืดหยุ่นมากขึ้นตามค่าครองชีพที่สูงขึ้น ส่งผลให้ผู้คนเลือกซื้ออาหารอย่างรอบคอบมากยิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงราคาและคุณค่าที่เหมาะกับตนเองอย่างสูงสุด “ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ผู้บริโภคยังคงคาดหวังผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพที่ดีในราคาที่เหมาะสม ดังนั้นแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มที่เสนอคุณค่าสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับราคา จะมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกัน แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้กังวลด้านค่าใช้จ่ายก็ให้ความสำคัญกับราคาเช่นเดียวกัน โดยพวกเขาจะซื้อสินค้าที่มีราคาเข้าถึงได้และในบางคราวอาจซื้อสินค้าที่มีคุณภาพและราคาสูงขึ้นสลับกันไปเพื่อเป็นการให้รางวัลแก่ตนเอง” คุณสุทธินันท์กล่าวเสริม

เทรนด์หลักลำดับที่สาม คือ Eatertainment ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบัน สังคมหรือชุมชนออนไลน์ ที่นำโดยครีเอเตอร์ในแพลตฟอร์มต่างๆ ได้เข้ามามีบทบาทในด้านการสร้างสรรค์ หรือนำเทรนด์เมนูอาหารใหม่ๆ เป็นอย่างมาก ทำให้การทำอาหารทานเองหรือเลือกซื้ออาหาร กลายเป็นเรื่องที่สนุกและเข้าถึงได้ง่ายสำหรับผู้บริโภค

“ตั้งแต่ช่วงล็อกดาวน์เป็นต้นมา สังคมออนไลน์กลายเป็นที่ที่ยึดโยงผู้คนที่มีความหลงใหลในสิ่งเดียวกันให้เข้ามาแบ่งปันประสบการณ์กัน โดยเฉพาะในเรื่องของอาหาร” คุณสุภนัฐ รัตนทิพ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว “ผู้บริโภคได้เข้ามาแบ่งปันหรือค้นหาแรงบันดาลใจในการทำอาหาร ทำให้การทำอาหารกลายเป็นเรื่องสนุกและทำได้ง่ายโดยแทบไม่ต้องพึ่งเชฟ แบรนด์อาหารและเครื่องดื่ม อาจจะลองใช้บรรจุภัณฑ์อาหารที่ปรุงได้ที่บ้านพร้อมวิธีการทำอาหารแบบทีละขั้นตอนเพื่อเป็นการเน้นย้ำเทรนด์ทำอาหารในบ้าน”

เทรนด์สุดท้าย “Local Reclaimed” เมื่อผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจท้องถิ่นมากขึ้น เครือข่ายระหว่างชุมชนจึงแน่นแฟ้นมากกว่าที่เคย แบรนด์ที่ส่งผลดีต่อชุมชนท้องถิ่นจะกลายเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นขึ้น “จากสถานการณ์โควิด 19 ที่ผ่านมา ผู้บริโภคได้เห็นผลกระทบที่ชุมชนของตนได้รับ และตั้งใจอุดหนุนแบรนด์ท้องถิ่นมากขึ้น ผู้บริโภคหลายคนรู้สึกโหยหาอดีต และมองหาความสบายใจจากวันวาน รสชาติแบบดั้งเดิมที่คุ้นเคยเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้รู้สึกถึงความสุขในวัยเยาว์ได้อีกครั้ง ดังนั้น แบรนด์ที่เน้นวัตถุดิบที่เลือกสรรมาจากชุมชนท้องถิ่น ก็จะสามารถตอบโจทย์เทรนด์นี้ได้” คุณสุภนัฐ กล่าวปิดท้าย

รายงาน ‘เทรนด์ดิพิเดีย’ ของเต็ดตรา แพ้ค  ได้ระบุถึงเทรนด์หลัก 10 เรื่องสำหรับปี 2566 นี้ ได้แก่ เคล็ดลับเพื่อชีวิตที่ง่ายขึ้น (Life Hacks) อิสรภาพในการเลือกชอป (Flexi-shopping) ชีวิตที่ควบคุมได้ (In Control) พักเพื่อเติมเต็มและซ่อมแซม (Replenish and Repair) แนวคิดเพื่อสภาพอากาศ (Climatarianism) ความชัดเจนสีเขียว (Green Clarity) เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง (Un-masking Identities) มุ่งสนับสนุนท้องถิ่น (Local Reclaimed) ชีวิตที่ปรับเปลี่ยนอยู่ตลอด (Evolving Spaces) และทุกมื้อคือความสนุก (Eatertainment)  

เต็ดตรา แพ้ค นำเสนอรายงานเทรนด์การเปลี่ยนแปลงผู้บริโภค เทรนด์ดิพิเดีย ประจำปี 2566 ให้กับลูกค้าของเรา เพื่อให้มีความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคในปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง

Share:

วัตสันจัดใหญ่ เปิดตัว ‘Dermaction Plus Advanced Sun Solar Barrier’ จบปัญหาหน้าร้อน พร้อมปกป้องผิวจากคลื่นความร้อน

กรุงเทพฯ ประเทศไทย - 21 มีนาคม 2566 - วัตสัน ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของประเทศไทย จัดงานเปิดตัว ‘Dermaction Plus Advanced Solar Barrier’ ครีมกันแดดที่ปกป้องผิวจากแสงแดด และคลื่นความร้อนอย่างครอบคลุม อาทิ ยูวีเอ ยูวีบี แสงสีฟ้า และ Infrared ต้นเหตุของปัญหาจุดด่างดำและริ้วรอยก่อนวัย นำทีมโดยคุณนวลพรรณ ชัยนาม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ วัตสัน ประเทศไทย ร่วมด้วยแขกรับเชิญคนพิเศษอย่าง ‘เปรม’ วรุศ ชวลิตรุจิวงษ์ ดาราหนุ่มสุดฮอตมาร่วมสร้างสีสัน พร้อมแชร์เคล็ดลับการดูแลผิวพร้อมสู้แดด ท้าความร้อนในทุกสถานการณ์ งานนี้ได้รับความสนใจจากเหล่าแฟนคลับหนุ่มเปรม รวมถึงผู้ที่สัญจรผ่านไปมา ณ ห้างสรรพสินค้า เทอมินอล21 พระราม 3 เป็นจำนวนมาก
ภายในงานมีการเปิดตัว ‘Dermaction Plus by Watsons Solar Barrier’ อย่างเป็นทางการครั้งแรก พร้อมด้วยภาพยนตร์โฆษณาล่าสุดที่บอกเล่าเรื่องราว ‘ภาวะหน้าร้อน’ ผ่านกิจวัตรประจำวันของสาวๆ ออกมาได้อย่างน่าสนใจ รวมไปถึงการพูดคุยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์แบบเจาะลึกจากอินไซด์ปัญหาผิวหน้าของคนไทยในปัจจุบันกับคุณบดินทร์ เปรมประเสริฐ Customer Controller วัตสัน ประเทศไทย พร้อมแลกเปลี่ยนเคล็ดลับการดูแลผิวจาก ‘เปรม’ วรุศ ดาราหนุ่มสุดฮอตและ แพทย์หญิงสุรีย์รัตน์ ศรีตั้งรัตนกุล แพทย์ผิวหนังและเวชศาสตร์ชะลอวัย นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังได้สนุกสนานกับกิจกรรมพิเศษต่างๆ อาทิ มุมโฟโต้บูธสุดชิค ถ่ายอวดเพื่อน อัพลงโซเชียลกันแบบรัวๆ พร้อมสัมผัสและทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ ก่อนใคร แถมได้ลุ้นรับผลิตภัณฑ์กลับไปใช้ที่บ้านแบบฟรีๆ!

คุณนวลพรรณ ชัยนาม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ วัตสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “การเปิดตัว Dermaction Plus by Watsons Solar Barrier ในครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านสุขภาพและความงามของวัตสัน โดยเรามีการสำรวจศึกษาหาข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคในการใช้ครีมกันแดด รวมไปถึงความต้องการด้านการดูแลผิวของคนไทย ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าเรามากที่สุด และเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนผู้หญิงไทยให้มีความมั่นใจในตัวเอง  นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์สูตรใหม่ของเรายังให้ความใส่ใจในด้านสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปราศจากสารที่ทำร้ายปะการัง หรือบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิลถึง 25% รวมไปถึงกล่องผลิตจากกระดาษมาตรฐาน FSC ที่ได้จากป่าไม้เชิงพาณิชย์ ตอกย้ำแนวความคิดด้านความยั่งยืนที่วัตสันเราให้ความสำคัญไม่แพ้กัน”
Dermaction Plus by Watsons Solar Barrier พัฒนาขึ้นจากปัญหาผิวแก่ก่อนวัย ซึ่งแตกต่างกันไปตามกิจวัตรประจำวันของแต่ละคน เพราะความแก่ที่เราเห็นไม่ได้มาจากอายุที่เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่มีปัจจัยภายนอกเข้ามากระตุ้นร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยที่เกิดจากแสงแดด หรือที่เรียกว่า Photoaging จากการสัมผัสแสงยูวี (UV) และอินฟราเรด (IR) ที่มีในแสงแดด แสงไฟ และความร้อนรอบๆ ตัว ส่งผลให้ผิวขาดความยืดหยุ่น มีริ้วรอย เกิดจุดด่างดำ ฝ้า และกระ

โดยผลิตภัณฑ์สูตรใหม่ของ Dermaction Plus by Watsons Solar Barrier มาพร้อมกับ SPF 50+ PA++++ เพิ่มประสิทธิภาพกันน้ำได้ดียิ่งขึ้น ปกป้องผิวจากแสงแดดได้ครอบคลุม ครบทั้งยูวีเอ ยูวีบี อินฟราเรด และแสงสีฟ้า พร้อมปกป้องผิวขึ้นอีกระดับด้วยเทคโนโลยี Double IRtech ที่ผสานการทำงานร่วมกันของ IR Protection Agent 2 ชนิดเข้าด้วยกัน เพื่อผลลัพท์การปกป้องผิวจาก IR Rays ที่ดีที่สุด อีกทั้งยังอ่อนโยนยิ่งขึ้น เพราะปราศจากน้ำหอม และสารระคายเคืองต่างๆ เช่น สารกันเสียชนิดพาราเบน และ สี พร้อมลุยในทุกวันและทุกกิจกรรมได้แบบไร้กังวล

จบปัญหาหน้าร้อน จบปัญหาผิวแก่ ด้วย ‘Dermaction Plus by Watsons Solar Barrier’ ครีมกันแดดสูตรใหม่จากวัตสันได้แล้ววันนี้ ที่ร้านวัตสันทุกสาขาทั่วประเทศไทย และวัตสัน ออนไลน์ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สื่อ ณ จุดขาย หรือ Line Official @WatsonsTH, เว็บไซต์ Watsons.co.th หรือผ่านแอป WatsonsTH ดาวน์โหลดได้ที่ Google Play Store และ App Store
Share:

Recent Posts

STATISTICS ::

ค้นหาบล็อกนี้

Contact Us ::

📲 : คุณเอ๋​ (+66) 063 424 8665
✉️ 📝Insightoutstory@gmail.com

Add Line📲 Click 👇👇

Translate

น้องแพท พร้อมมีลูกปีนี้เลย‼️

Review By Nichapa

POPULAR NEWS

Fanpage Facebook

ป้ายกำกับ

คลังบทความของบล็อก