Chulalongkorn Business School คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ ผนึกกำลัง ฮาคูโฮโด อินเตอร์เนชั่นแนล ไทยเเลนด์ ประกาศความสำเร็จ HIT PROGRAM ปี 2 เดินหน้ายกระดับการเรียนรู้ของนิสิตไทยสู่ประสบการณ์จริงและพร้อมลงสนามการทำงานจริง

กรุงเทพฯ ประเทศไทย, 28 เมษายน 2568 - ภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ บริษัท ฮาคูโฮโด อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด ประกาศความสำเร็จปิดจบโครงการ HIT PROGRAM ปี 2 ที่จัดขึ้นสำหรับสอนนิสิตคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชั้นปีที่ 4 ประจำปีการศึกษา 2567 ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม - 25 เมษายน พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา

การร่วมมือกันในครั้งนี้ ถือเป็นการสานต่อความร่วมมือและความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่าง คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ บริษัท ฮาคูโฮโด อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด คุณยูโกะ อิโต กรรมการผู้จัดการ จากสถาบันวิจัยความเป็นอยู่ ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ‘การร่วมมือกันระหว่าง CBS และ HIT เป็นการร่วมมืออันยาวนาน ซึ่งเรามุ่งเน้นในการพัฒนาเด็กเจนใหม่เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่เพื่อสังคมไปด้วยกันผ่านประสบการณ์จริง เรียนรู้ทั้งทฤษฎีและการได้ลองปฏิบัติจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญอยู่เเล้วสำหรับ ฮาคูโฮโด ที่ประเทศญี่ปุ่น ดังนั้นการร่วมมือกันในครั้งนี้นั้น เท่ากับการต่อยอดความตั้งใจที่เราทำในประเทศญี่ปุ่น’

โครงการนี้จัดขึ้นเพื่อเติมเต็มช่องว่างระหว่างทฤษฎีกับการทำงานจริง พร้อมเปิดพื้นที่ให้นิสิตรุ่นใหม่ได้พัฒนาทักษะในโลกของการตลาด ภายใต้การแนะนำอย่างใกล้ชิดจากมืออาชีพในวงการโฆษณาและการสื่อสารการตลาดจากฮาคูโฮโด อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยเเลนด์) เเละในปีนี้เราได้ยกระดับรูปแบบการเรียนการสอน ให้นิสิตที่เข้าร่วมโครงการได้ลงมือทำโปรเจกต์จริง พร้อมทั้งมีโอกาสนำเสนอผลงานต่อผู้เชี่ยวชาญและได้รับคำแนะนำตรงจากผู้บริหารระดับสูงในแต่ละสายงาน ไม่ว่าจะเป็น ทีมวางแผนกลยุทธ์ ทีมครีเอทีฟทั้งไทยและต่างชาติ ทีมมีเดีย รวมไปถึงทีมบริหารงานลูกค้า ที่สลับกันเข้ามาร่วมแชร์มุมมองในฐานะผู้เชี่ยวชาญและคนทำงานจริง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เอกก์ ภทรธนกุล หัวหน้าภาควิชาการตลาด Chulalongkorn Business School กล่าวเพิ่มเติมว่า ‘ในยุคที่โลกของการตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเตรียมความพร้อมให้นิสิตมีทั้งทักษะทางวิชาการและประสบการณ์จริงเป็นสิ่งจำเป็น โครงการ HIT REAL CHALLENGE ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่ CBS ร่วมมือกับองค์กรชั้นนำ เพื่อสร้างนักการตลาดรุ่นใหม่ที่พร้อมทำงานจริง และสามารถสร้างคุณค่าให้แก่สังคมอย่างยั่งยืน’


การแถลงข่าวความสำเร็จของโครงการ HIT PROGRAM ปี 2 ในครั้งนี้ มีการจัดเสวนาในหัวข้อ “Building Future Marketers” โดยได้รับเกียรติจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เอกก์ ภทรธนกุล หัวหน้าภาควิชาการตลาด Chulalongkorn Business School และ คุณชุติมา วิริยะมหากุล กรรมการบริหาร บริษัท ฮาคูโฮโด อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด โดยเน้นย้ำถึงความเปลี่ยนแปลงของเทรนด์การตลาดและบทบาทของการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำจริง การทำงานร่วมกับลูกค้าและเอเจนซี ตลอดจนแนวคิดเบื้องหลังผลงานที่สะท้อนความเข้าใจในผู้บริโภค และความคิดสร้างสรรค์เพื่อสังคม โดยในโปรแกรมนี้คัดเลือก 4 ทีม ผู้มีผลงานและไอเดียที่โดดเด่นทั้งในด้านแนวคิด กลยุทธ์ และความเป็นไปได้ในการนำไปใช้จริง โดยในช่วงท้ายของงานมีการมอบรางวัลให้แก่ทีมผู้ชนะ เพื่อเป็นกำลังใจและประกาศเกียรติคุณในความสามารถ

คุณชุติมา วิริยะมหากุล กรรมการบริหาร บริษัท ฮาคูโฮโด อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวเสริมว่า “โครงการ HIT REAL CHALLENGE ในปีนี้ เรามีความตั้งใจจะผลักดันแนวคิด ‘พลังสร้างสรรค์เพื่อสังคม กับคนเจนใหม่’ ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยใช้หลัก 3 จริง ได้เเก่

นิสิตได้ทำงานจริง เหมือนตั้งเอเจนซีจริงของตนเอง ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดตัวจริง ประสบการณ์จริงที่มาให้ความรู้เเละคำเเนะนำ

โจทย์จริงจาก CU Engineering Enterprise (เเบรนด์มุทา, Eyecare box, ชมพูสยาม)  เเละ สโมสรฟุตบอล จามจุรี ยูไนเต็ด

การทำงานร่วมกับนิสิตอย่างใกล้ชิด สิ่งที่เราได้เห็นคือศักยภาพที่น่าทึ่งของคนรุ่นใหม่ ทั้งในแง่ความคิดสร้างสรรค์ การเข้าใจผู้บริโภค และการนำเสนอแนวทางที่มีคุณค่าทั้งในเชิงธุรกิจและสังคม เราเชื่อมั่นว่าความร่วมมือนี้จะเป็นพลังสำคัญในการผลักดันวงการสื่อสารการตลาดให้เติบโตไปพร้อมกับสังคมอย่างยั่งยืน”

ซึ่งผลลัพธ์ของโครงการนี้แสดงผ่านมุมมองของการทำการตลาดของเด็กเจนใหม่ให้กับนวัตกรรมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีตัวอย่างไอเดียจาก 4 ทีมผู้ชนะ ดังต่อไปนี้

โจทย์ทีมฟุตบอลจามจุรี ยูไนเต็ด โดย ทีม 360 Marketing Agency:

ยกระดับจากทีมฟุตบอลมหาวิทยาลัยสู่ทีมฟุตบอลที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้ ด้วยการทำการตลาดที่ผสมผสาน Legacy ของทีมกับไลฟ์สไตล์ใหม่ ๆ ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมไปด้วยกัน ผ่าน Strategy 4 Exes to Exceed ได้เเก่ Expand the legacy สร้างฐานที่เเข็งเเกร่งด้วยการทำ Communication & Marketing, Explore the posibilites ค้นหาโอกาสใหม่ ขยายฐานเเฟนธุรกิจ, Extract the value สร้างรายได้ที่มั่นคงเเละยั่งยืน, Execute the vision การถ่ายทอดเเผนงานสู่งานจริง

โจทย์เข็มระบายความดันตากับโรคต้อหิน โดย ทีม Chen Advertising Agency:

ชูจุดเด่นสินค้าที่ช่วยขจัดจุดอ่อนของการรักษาโรคต้อหินในปัจจุบัน ภายใต้แนวคิด B(l)ack to bright, See life again กลับสู่ความปกติของชีวิตอีกครั้ง โดยการพาสินค้าเข้าถึงผู้บริโภคในช่องทางที่เกี่ยวข้องและใช้แหล่งข้อมูลที่ตรงจุดในการสร้างความน่าเชื่อถือทางการเเพทย์ พร้อมให้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคต้อหิน ซึ่งไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดยอดขาย แต่เป็นการสร้างสาธารณสุขให้สังคมและคืนความปกติให้ชีวิตคนไทย

โจทย์ มุทา เท้าเทียมไดนามิกส์ โดย ทีม Hashbabe consulting

การสร้างกลยุทธ์ที่มอบความหวังให้ผู้พิการผ่านสินค้าคุณภาพระดับโลกที่เข้าใจคนไทยภายใต้แนวคิด New Life for Thais by Thais ชีวิตใหม่เพื่อคนไทยโดยคนไทย ชูจุดแตกต่างสำคัญของสินค้าที่แตกต่างจากเท้าเทียมแบบเดิมที่ทำจากไม้ ทำให้ผู้พิการสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ผ่านกลยุทธ์ที่เรียกว่า Mass Utilize Happiness โดยการสร้าง 1. Mass Awareness (การสร้างการรับรู้ในวงกว้าง)  2. Utilize Right Channel and Partners (การเข้าถึงช่องทางการขายเเละพาร์ทเนอร์ที่เกี่ยวข้อง) 3. Happiness Retention (การเข้าถึงไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีเเก่ผู้ใช้) 

ชมพูสยาม เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ โดย ทีม Honey Badger:

สร้างคุณค่าและมูลค่าสินค้า ต่อสู้กับตลาดที่กำลังลดคุณค่าผ่านการตอบโจทย์ Emotional Need เพื่อสร้างเหตุผลในการซื้อสินค้าให้ชัดเจนผ่านไอเดีย ชมพูบำบัด เอกลักษณ์เพื่อความผ่อนคลาย ทำให้สินค้ากลายเป็นสัญลักษณ์ของการช่วยผ่อนคลายจิตใจและร่างกาย ซึ่งไม่ใช่แค่ทำกับตัวสินค้า แต่ทำกับทุกองค์ประกอบของแบรนด์ พร้อมนำเสนอเเคมเปญย่อย 5 เเคมเปญ ได้เเก่ Scent to try ทำให้เกิดการทดลอง, Scent from the heart ให้เป็นของขวัญคนที่รัก, Scent of sweet dream เป็นตัวช่วยในการพักผ่อน, Scent of premium time เพิ่มคุณค่าด้วยเเพคเกจของขวัญพรีเมี่ยม, Scent of happiness กิจกรรมเพื่อสังคมมอบโอกาสให้ผู้พิการ

โครงการ HIT REAL CHALLENGE ถือเป็นอีกหนึ่งต้นแบบของความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและภาคธุรกิจที่มุ่งมั่นพัฒนา “คนเจนใหม่” ให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และสามารถใช้ความรู้สร้างคุณค่าต่อทั้งองค์กรและสังคมในอนาคต

####

เกี่ยวกับ Chulalongkorn Business School

Chulalongkorn Business School หรือ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาฯ เป็น สถาบันการศึกษาบริหารธุรกิจแห่งแรกของไทย และได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลกสำคัญครบจากสามสถาบันหลักคือ AACSB, EQUIS และ AMBA  โดยภาควิชาการตลาดของคณะเป็นภาควิชาที่ได้รับความยอมรับสูง โดยมีหลักสูตรทั้งปริญญาตรี โท และเอก โดยเฉพาะปริญญาโทนั้นเป็นหลักสูตรด้านแบรนด์และการตลาดแรกของเอเชีย และเป็นอันดับหนึ่งของไทย และมีความร่วมมืออย่างแน่นแฟ้นกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก เช่น มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และอ็อกซ์ฟอร์ด


เกี่ยวกับบริษัท ฮาคูโฮโด อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด

บริษัทในเครือ ฮาคูโฮโด ได้เริ่มเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 เป็นระยะเวลากว่า 51 ปี ที่บริษัทได้ให้คำปรึกษาในด้านการตลาดและการสื่อสารให้กับแบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ และได้มีส่วนร่วมในการสร้างความสำเร็จกับธุรกิจที่หลากหลาย ในปัจจุบัน ฮาคูโฮโด ประเทศไทย ได้สร้างการเติบโตพร้อมด้วยบริษัทในเครือทั้งหมด 15 บริษัท และมีบุคลากรในเครือมากกว่า 1000 คน พร้อมกันนี้ ฮาคูโฮโด ประเทศไทย ยังได้พัฒนาเครื่องมือการตลาดและการสื่อสารในรูปแบบใหม่ พร้อมองค์ความรู้ให้เหมาะกับความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ บริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย และร่วมสร้างคุณค่าให้กับสังคมในรูปแบบต่างๆ เพื่อการเติบโตร่วมกันทั้งในปัจจุบันและอนาคต

Share:

แอสคอทท์และเชลซีร่วมเฉลิมฉลองการปิดฉากความสำเร็จ The Famous CFC 2024/25 ที่กรุงเทพฯ อย่างงดงาม

งานสุดสัปดาห์อันเข้มข้นได้รวบรวมแฟนบอลเชลซีและสมาชิก Ascott Star Rewards หลายร้อยคนจากทั่วภูมิภาค ในการเข้าร่วมกิจกรรมอันน่าตื่นเต้นมากมาย พร้อมสิทธิ์พิเศษในการเข้าพบ จิอันฟรังโก โซลา ตำนานของสโมสร

กรุงเทพฯ ประเทศไทย – 29 เมษายน 2568 – สโมสรฟุตบอลเชลซี ร่วมกับพันธมิตรโรงแรมระดับโลกอย่างเป็นทางการอย่าง The Ascott Limited (แอสคอทท์) นำทีม "สิงห์บลูส์" มาเยือนกรุงเทพฯ ประเทศไทย เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปิดฉากทัวร์ The Famous CFC ประจำฤดูกาล 2024/25 ที่จัดขึ้นเป็นแห่งที่สี่และแห่งสุดท้ายของฤดูกาลนี้ นอกจากนี้ แอสคอทท์ยังเป็นเจ้าภาพจัดงานเปิดตัวประสบการณ์ระดับโลกสำหรับแฟนๆ ในฤดูกาลนี้ที่สิงคโปร์เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยทั้งสองงานได้รับเกียรติจาก จิอันฟรังโก โซลา ตำนานของสโมสร มาร่วมสร้างประสบการณ์ปิดท้ายทัวร์ได้อย่างน่าประทับใจ 

ในฐานะพันธมิตรโรงแรมระดับโลกอย่างเป็นทางการของเชลซี และพันธมิตรหลักในการจัดกิจกรรมการเยือนกรุงเทพฯ ในงาน The Famous CFC ครั้งนี้ แอสคอทท์มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการนำกิจกรรมอันน่าตื่นเต้นนี้มาให้แฟนๆ ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้กับทั้งแฟนบอลเชลซีและสมาชิก Ascott Star Rewards โดยการจัดงาน The Famous CFC ครั้งนี้ ถือเป็นการกลับมาเยือนกรุงเทพฯ ของเชลซีเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 โดยได้จัดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ของวันที่ 25 และ 26 เมษายน 2568 ณ โรงแรมในเครือแอสคอทท์ ได้แก่ Ascott Embassy Sathorn Bangkok, Somerset Rama 9 Bangkok และ lyf Sukhumvit 8 Bangkok ซึ่งเป็นโรงแรมหลักของแอสคอทท์ในกรุงเทพฯ งานสองวันประกอบด้วยกิจกรรมชมการแข่งขันที่ทุกคนรอคอยระหว่างเชลซีและเอฟเวอร์ตัน พร้อมโอกาสพิเศษในการพบปะและทักทายกับ จิอันฟรังโก โซลา ตำนานของสโมสร

จิอันฟรังโก โซลา กล่าวว่า ผมมีช่วงเวลาที่น่าทึ่งมากที่งาน The Famous CFC ในกรุงเทพฯ ซึ่งนับเป็นครั้งที่สองที่ได้ร่วมงานกับแอสคอทท์ และเป็นประสบการณ์ที่น่ายินดีอย่างยิ่ง แฟนบอลเชลซีในกรุงเทพฯ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ ผมรู้สึกขอบคุณสำหรับโอกาสในการได้พบปะและใช้เวลากับพวกเขาอย่างใกล้ชิด พลังที่พวกเขาส่งมานั้นยอดเยี่ยมเหนือคำบรรยายจริงๆ และที่พิเศษกว่านั้น ทริปนี้ยังส่งท้ายด้วยชัยชนะจากการแข่งขันครั้งสำคัญที่สนามสแตมฟอร์ดบริดจ์อีกด้วย!"

แคสเปอร์ สไตลส์วิก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายรายได้ของสโมสรฟุตบอลเชลซี กล่าวว่า "การจัดงาน The Famous CFC ร่วมกับแอสคอทท์เป็นครั้งที่สองที่กรุงเทพฯ ได้รับการตอบรับที่ดีเป็นอย่างยิ่ง และเราขอขอบคุณแอสคอทท์ในฐานะพันธมิตรร่วมจัดกิจกรรมต่าง ๆ ในครั้งนี้ โดยเครือข่ายและทรัพยากรระดับโลกของแอสคอทท์ได้เปิดโอกาส ให้เราได้สานสัมพันธ์กับแฟนๆ ในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย และสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงคุณค่าของความร่วมมือนี้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการที่ได้รับชมการแข่งขันของสโมสรกับเอฟเวอร์ตันร่วมกับแฟน ๆ ในประเทศไทย การมอบประสบการณ์อันน่าประทับใจให้กับสมาชิก Ascott Star Rewards รวมถึงการสร้างความทรงจำไม่รู้ลืมระหว่างจิอันฟรังโก้ โซลา และเด็ก ๆ จากมูลนิธิสายเด็ก1387” 

มิส ตัน บี เล็ง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ของแอสคอทท์ กล่าวว่า “จำนวนผู้เข้าร่วมและพลังอันน่าทึ่งในงาน The Famous CFC ที่กรุงเทพฯ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการรวมพลังอันแข็งแกร่งระหว่างแบรนด์แอสคอทท์และเชลซี ตั้งแต่การพบปะสุดพิเศษกับ จิอันฟรังโก โซลา ตำนานของเชลซี ไปจนถึงกิจกรรมที่แฟนๆ ได้มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ โดยทุกช่วงเวลาได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อมอบความสุขและความทรงจำที่จะคงอยู่ไปอีกแสนนานให้กับสมาชิก Ascott Star Rewards ของเรา สุดสัปดาห์นี้ได้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงอันทรงพลังระหว่างกีฬา แฟนบอล และการบริการของโรงแรม งานนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของแอสคอทท์ในการสร้างนิยามใหม่ให้กับการบริการในระดับโลก โดยการเปลี่ยนการเข้าพักในโรงแรมให้กลายเป็นประสบการณ์ที่อบอุ่นและประทับใจ ซึ่งแขกของเรารู้สึกได้รับการต้อนรับที่เหนือระดับ พร้อมกับการเฉลิมฉลอง และการเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ซึ่งเราตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่จะนำงานนี้ รวมถึงประสบการณ์พิเศษอื่นๆ ไปยังเมืองต่างๆ ทั่วโลกมากยิ่งขึ้น เพื่อส่งมอบแรงบันดาลใจ พลัง และความอบอุ่นแบบเดียวกันนี้ให้กับสมาชิกโปรแกรมสะสมคะแนนและแฟนบอลเชลซีทั่วโลก”  

"พวกเรารู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่งที่จะสานต่อการตอบรับที่ดีนี้ไปสู่การเปิดตัว lyf Stamford Bridge London ที่กำลังจะมาถึงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ด้วยแนวคิดที่โดดเด่น เน้นการสร้างประสบการณ์สุดประทับใจ ที่ขับเคลื่อนด้วยชุมชน ซึ่ง lyf เข้ากันได้อย่างลงตัวกับจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งของเชลซี และบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาของสแตมฟอร์ด บริดจ์ โรงแรมแห่งนี้จะเป็นมากกว่าแค่ที่พัก แต่จะมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตแบบสังคม (social living) ที่สะท้อนถึงความหลงใหลของสโมสร พวกเราแทบรอไม่ไหวที่จะต้อนรับแขกในการมาพักผ่อนและสัมผัสหัวใจของลอนดอนและเชลซี" มิส ตัน บี เล็ง กล่าวเสริม

สิ่งที่น่าสนใจในงาน The Famous CFC – Bangkok Edition

เพื่อให้สอดคล้องกับหัวใจสำคัญของ The Famous CFC ในการคืนความสุขสู่สังคม กิจกรรมที่จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในวันศุกร์ที่ 25 เมษายน จิอันฟรังโก้ โซลา ได้เดินทางไปยัง เดอะฮับสายเด็ก ศูนย์พักพิงสำหรับเด็กเร่ร่อน ภายใต้การดูแลของ มูลนิธิสายเด็ก1387 และได้รับการสนับสนุนจาก Safe Child Thailand ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลที่จดทะเบียนในสหราชอาณาจักร ร่วมมือกับเครือข่ายองค์กรการกุศล และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ขาดโอกาสในประเทศไทย โดยเด็กและเยาวชนจากมูลนิธิสายเด็ก1387 ได้เพลิดเพลินกับกิจกรรมฟุตบอลในช่วงเช้า และเข้าร่วมการแข่งขันมินิทัวร์นาเมนต์ในสนามที่กรุงเทพฯ โดยโซลาได้แบ่งปันเคล็ดลับลูกหนังและมอบกำลังใจให้กับนักเตะรุ่นเยาว์ในกิจกรรมครั้งนี้อีกด้วย

ช่วงบ่ายวันเดียวกัน โซลายังได้เที่ยวชมบรรยากาศรอบกรุงเทพฯ รวมถึงสัมผัสชีวิตชีวา และเยี่ยมเยือนโรงแรมในเครือแอสคอทท์หลายแห่งในกรุงเทพฯ พร้อมถ่ายทำคอนเทนต์สุดพิเศษเพื่อแฟนๆ ไม่ว่าจะเป็น Somerset Rama 9 Bangkok, lyf Sukhumvit 8 Bangkok และ Ascott Embassy Sathorn Bangkok ซึ่งเป็นโรงแรมที่เขาได้เข้าพักระหว่างการเยือนครั้งนี้อีกด้วย

ต่อมาในวันเสาร์ที่ 26 เมษายน สมาชิก Ascott Star Rewards กว่า 100 ท่านยังได้รับโอกาสสุดพิเศษในการร่วมรับประทานอาหารเช้ากับโซลาที่โรงแรม Somerset Rama 9 Bangkok ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมพบปะอย่างใกล้ชิด พร้อมโอกาสในการพูดคุย ถ่ายภาพร่วมกับโซลา และถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2016/17 ท่ามกลางบรรยากาศอันอบอุ่นและน่าประทับใจ กิจกรรมยังต่อเนื่องไปในช่วงบ่ายที่โรงแรม Ascott Embassy Sathorn Bangkok ที่โซลาได้ร่วมพูดคุยอย่างเป็นกันเอง แลกเปลี่ยนเรื่องราวส่วนตัว หวนรำลึกถึงช่วงเวลาที่น่าประทับใจจากเส้นทางอาชีพนักฟุตบอล และตอบคำถามจากผู้เข้าร่วมงาน นอกจากนี้ ก่อนการชมการแข่งขันในช่วงเย็น โซลา และสมาชิก Ascott Star Rewards ยังได้เข้าร่วมงานเลี้ยงพิเศษก่อนการแข่งขัน ซึ่งมีโซนกิจกรรมให้ถ่ายภาพ และกิจกรรมต่างๆ ที่เปิดโอกาสให้แฟนๆ ได้ร่วมสนุกอย่างเต็มที่

ช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นเริ่มเต้นขึ้นที่งานชมการแข่งขันที่ Hobs ICONSIAM ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 250 ท่าน มารวมตัวกันที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาอันสวยงาม เพื่อชมการถ่ายทอดสดแมตช์สำคัญระหว่างเชลซีและเอฟเวอร์ตัน บรรยากาศเต็มไปด้วยด้วยความคึกคัก และความรักของแฟนบอล เมื่อแฟนๆ จากทั่วทุกภูมิภาคมาร่วมใจเชียร์ทีมในดวงใจ พร้อมรับชมวิดีโอสุดพิเศษจาก มาร์ค กูกูเรย่า, เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ, คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู, เคียร์แนน ดิวส์บิวรี่-ฮอลล์, เบอนัวต์ บาเดียชิล และโอมาริ เคลลีแมน รวมถึงของรางวัลสุดพิเศษจากการจับฉลากโดย โคล พาลเมอร์, มาร์ค กูกูเรย่า และเอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ ที่เติมเต็มความสนุกสนานตลอดค่ำคืน งานชมการแข่งขันครั้งนี้นับเป็นการปิดฉากสองวันแห่งการเฉลิมฉลองอันน่าประทับใจและการทัวร์ระดับโลก The Famous CFC ประจำฤดูกาลได้อย่างงดงาม

สามารถติดตามข้อมูลล่าสุด และข้อเสนอสุดพิเศษจากความร่วมมือระหว่างแอสคอทท์ และเชลซี รวมถึงกิจกรรม The Famous CFC ได้ที่เว็บไซต์ https://www.discoverasr.com/en/ascott-chelseafc 

เกี่ยวกับ Ascott Star Rewards (ASR) 

Ascott Star Rewards (ASR) มอบสิทธิพิเศษมากมายแก่สมาชิก พร้อมยกระดับประสบการณ์รอบด้านให้แก่นักเดินทาง ตั้งแต่บริการต้อนรับสุดพิเศษ และสิทธิ์เข้าใช้ห้องรับรองในสนามบิน ไปจนถึงสิทธิประโยชน์ในการเข้าพักที่เหนือกว่า อาทิ สิทธิพิเศษในการเช่ารถยนต์ คะแนนสะสมโบนัส ASR ไมล์สะสมสายการบิน และบัตรกำนัลการเดินทาง เพื่อรองรับประสบการณ์การเดินทางที่ราบรื่นตั้งแต่ต้นจนจบทริปจาก ASR ซึ่งนอกจากประสบการณ์การเข้าพักที่ยอดเยี่ยมแล้ว สมาชิก ASR ยังสามารถเข้าถึง Ascott Privilege Signatures เพื่อรับโอกาสในการเข้าร่วมงานระดับโลกสุดเอ็กซ์คลูซีฟ อาทิ การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก การแข่งขันเทนนิสระดับโลก และประสบการณ์ด้านอาหารและไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียม หากท่านสนใจเข้าร่วมเป็นสมาชิก ASR สามารถสมัครได้แล้ววันนี้ที่ https://www.discoverasr.com/en/sign-up

เกี่ยวกับสโมสร ฟุตบอล Chelsea

เชลซีเป็นหนึ่งในสโมสรฟุตบอลชั้นนำระดับโลก สร้างผลงานอันยอดเยี่ยมด้วยการคว้าแชมป์ฟุตบอลสโมสรโลก (FIFA Club World Cup) ในปี พ.ศ. 2565 โดยเอาชนะสโมสรพัลไมรัสจากบราซิล ในรอบชิงชนะเลิศที่จัดขึ้น ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ชัยชนะครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จครั้งสำคัญของสโมสร ต่อจากความสำเร็จในการคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกสมัยที่ 2 ในปี พ.ศ. 2564 ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความเป็นสโมสรชั้นนำในวงการฟุตบอลโลก 

เชลซีก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2448 เป็นสโมสรฟุตบอลที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงลอนดอน โดยมีสนามเหย้าคือสนาม Stamford Bridge อันโด่งดัง ซึ่งมีความจุ 40,000 ที่นั่ง สโมสรที่มีฉายาว่า ‘สิงห์บลูส์’ คว้าแชมป์ Champions League เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2555 และยังคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 5 สมัย, เอฟเอคัพ 8 สมัย, ฟุตบอลลีกคัพ 5 สมัย, ยูฟ่ายูโรปาลีก 2 สมัย, ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 2 สมัย, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2 สมัย และฟุตบอลลีกแชมเปียนชิป 1 สมัยในปี พ.ศ. 2498 

ชัยชนะในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก และยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี พ.ศ. 2564 ส่งผลให้เชลซีสร้างประวัติศาสตร์เป็นสโมสรแรกที่คว้าแชมป์รายการแข่งขันสโมสรยุโรปของยูฟ่า 4 รายการหลักได้ถึง 2 ครั้ง ต่อเนื่องจากความสำเร็จก่อนหน้านี้ใน 2 รายการดังกล่าว รวมถึง ยูฟ่า ยูโรปาลีก และ ยูฟ่า คัพวินเนอร์สคัพ

ทีมฟุตบอลหญิงเชลซีสร้างผลงานได้อย่างโดดเด่น ด้วยการคว้าแชมป์ FA Women's Super League ติดต่อกันเป็นปีที่ 5 ในปี พ.ศ. 2567 และเป็นแชมป์สมัยที่ 7 ของสโมสร นอกจากนี้ ทีมยังคว้าแชมป์ Women's FA Cup ได้ถึง 5 สมัย และ FA Women's League Cup อีก 2 สมัย อีกทั้งยังเคยเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ UEFA Women's Champions League ในปี พ.ศ. 2564 อีกด้วย

นอกเหนือจากการมีผู้เล่นระดับโลกที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางแล้ว เชลซียังได้ลงทุนอย่างมากในอนาคตของสโมสร ด้วยการสร้างศูนย์ฝึกเยาวชนและศูนย์ฝึกซ้อมที่ทันสมัยในเมืองค็อบแฮม เขตเซอร์รีย์ นับตั้งแต่การเปิดตัวอาคารศูนย์ฝึกเยาวชนในปี พ.ศ. 2551 สโมสรได้สร้างผลงานที่โดดเด่น โดยคว้าแชมป์เอฟเอยูธคัพได้ถึง 7 สมัย คว้าแชมป์ยูฟ่ายูธลีกได้ 2 สมัยติดต่อกันในปี พ.ศ. 2558 และ 2559 และล่าสุดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกระดับประเทศรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ในฤดูกาล 2019/20 และรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี ในฤดูกาล 2017/18 

เชลซียังจัดตั้งมูลนิธิ The Chelsea Foundation พัฒนาโครงการริเริ่มชุมชนที่กว้างขวางที่สุดแห่งหนึ่งในวงการกีฬา เพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนทั่วโลก

Share:

“โตเกียว ซิมโฟนี ออร์เคสตรา กลับมาเยือนกรุงเทพฯ อีกครั้ง พร้อม 2 คอนเสิร์ตสุดพิเศษ วันที่ 28–29 พฤษภาคม 2568 ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย”

กรุงเทพฯ — โตเกียว ซิมโฟนี ออร์เคสตรา (Tokyo Symphony Orchestra: TSO) หนึ่งในวงออร์เคสตราชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น เตรียมกลับมาสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟังชาวไทยอีกครั้ง กับสองค่ำคืนแห่งบทเพลงคุณภาพ ภายใต้โครงการ “Asia Project” ที่ได้รับการสนับสนุนจากสภาศิลปะแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Arts Council) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและเชื่อมโยงความสัมพันธ์ผ่านเสียงดนตรีในภูมิภาคเอเชีย

คอนเสิร์ตครั้งแรกของโครงการนี้จัดขึ้นในปีที่แล้ว และนำโดยวาทยกร “นาโอโตะ โอโตโมะ” (Naoto Otomo) ที่กลับมาเป็นวาทยกรอีกครั้งในคอนเสิร์ตปีนี้ ร่วมด้วยศิลปินเดี่ยวหน้าใหม่ “Mone Hattori” (โมเน่ ฮัตโตริ) โดยตั๋วเข้าชมจำหน่ายหมดและมีผู้ชมการแสดงเต็มทุกที่นั่ง การแสดงในปีที่แล้วจบลงด้วยความตื่นเต้นและความสนใจท่วมท้นจากผู้ชม ที่รอการกลับมาแสดงในประเทศไทยอีกครั้ง

โดยการกลับมาในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย สมาคมญี่ปุ่นประจำประเทศไทย บริษัท ยามาฮ่า มิวสิค (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมการแสดง

โดยวงโตเกียว ซิมโฟนี ออร์เคสตรา ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2489 มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติว่าเป็นหนึ่งในวงออร์เคสตราที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น และทำการแสดงมาแล้วกว่า 58 เมืองทั่วโลก

คอนเสิร์ตแรก: TOKYO SYMPHONY ORCHESTRA SPECIAL CONCERT IN BANGKOK 2025 วันพุธ ที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลา 19:00 น. ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย พบกับบทเพลงคลาสสิกสุดไพเราะ อาทิ Frederic Chopin: Piano Concerto No.1 in E minor, Modest Mussorgsky / Arr. Maurice Ravel: Pictures at an Exhibition นำโดยวาทยกรมากประสบการณ์ “นาโอโตะ โอโตโมะ” (Naoto Otomo) และศิลปินเปียโนมากฝีมือ “โทโมฮารุ อุชิดะ” (Tomoharu Ushida) ซึ่งมีผลงานระดับนานาชาติตั้งแต่อายุเพียง 12 ปี  

คอนเสิร์ตที่สอง: ANIME & THEATRE MUSIC CONCERT by Tokyo Symphony Orchestra วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม 2568 เวลา 19:00 น. ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ค่ำคืนแห่งความบันเทิงที่จะพาผู้ชมเดินทางผ่านเสียงดนตรีจากแอนิเมะและละครเวทีชื่อดัง นำโดยวาทยกร “ชิมเป ซาซากิ” (Shimpei Sasaki) ร่วมด้วยนักแสดงมิวสิคัลชื่อดัง “เซย์โกะ นิอิซึมะ” (Seiko Niizuma) ซึ่งมีความผูกพันเป็นพิเศษกับประเทศไทย และศิลปินเปียโน “โทโมฮารุ อุชิดะ”  

ทั้งสองคอนเสิร์ตนับเป็นโอกาสพิเศษในการสัมผัสมนต์เสน่ห์ของดนตรีระดับโลก ถ่ายทอดโดยศิลปินชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่นบนเวทีใจกลางกรุงเทพมหานคร ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://tokyosymphony.jp/asia-project/ หรือ Facebook: Tokyo Symphony Orchestra Asia Project

เว็บไซต์ทางการของโตเกียว ซิมโฟนี ออร์เคสตรา: https://tokyosymphony.jp

 

Share:

พบกับผลิตภัณฑ์การผลิตด้วยพลังงานสะอาดของ บริษัท เฟิลท์เฮ้าส์ คลิงเคอร์ จำกัด บูธ S710 ในงานสถาปนิก’68 วันที่ 29 เมษายน – 4 พฤษภาคม 2568

กลับมาพบกันอีกครั้งกับ บริษัท เฟิลท์เฮ้าส์ คลิงเคอร์ จำกัด (Feldhaus Klinker Co, Ltd. ) บริษัทผลิตอิฐที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ตั้งอยู่ที่เมือง บาทลาห์ (Bad Laer) รัฐเอิสนาเบิร์ก (Osnabrück) ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นแหล่งของดินคุณภาพ ด้วยประสบการณ์ยาวนานตั้งแต่เริ่มก่อตั้งมากว่า 165 ปี ทำให้ บริษัท เฟิลท์เฮ้าส์ คลิงเคอร์ จำกัด เป็นแบรนด์ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอิฐชนิดบาง (Thin Brick) คุณภาพสูง และยังเป็นบริษัทแรกในโลกที่ทำโรงงานผลิตอิฐบางสำหรับผนังอีกด้วย


นาย เยิร์ก ไบรเออร์ (Mr. Jörg Breie) ประธานกรรมการบริหาร
ได้กล่าวว่า “ผลิตภัณฑ์ของ Feldhaus Klinker มีคุณภาพสูง ได้มาตรฐานสากล มีการส่งออกเพื่อจำหน่ายกว่า 40 ประเทศทั่วโลก ผลิตภัณฑ์มีความหลากหลายมากกว่า 2500 ผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากสี ขนาด และผิวสัมผัสที่สามารถสร้างลักษณะเด่นให้กับอาคารได้อย่างลงตัว การผลิตใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ 100% อีกทั้งด้วยความร่วมมือกับบริษัทและสถาปนิกที่มีชื่อเสียง ทำให้ Feldhaus Klinker เป็นแบรนด์ชั้นนำและได้รับความไว้วางใจมาอย่างยาวนาน”

“การกลับมาพบกันอีกครั้งในงานสถาปนิก’68 งานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรมและผลิตภัณฑ์ก่อสร้างใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้แนวคิด ทบทวน ทิศทาง : Past Present Perfect  ปีนี้ ซึ่งสอดคล้องกับกระบวนการผลิตของบริษัทฯในปัจจุบันและอนาคตที่ให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาด งานนี้จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้เผยแพร่ธุรกิจของแบรนด์ และผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่รู้จักกว้างขวางขึ้นอีกครั้งในภูมิภาคนี้” 

นายเยิร์ก ไบรเออร์ ประธานกรรมการบริหารฯ กล่าว

ขอเชิญชมผลิตภัณฑ์ได้ที่บูธ Feldhaus Klinker หมายเลข S710 ในงานสถาปนิก’68 ระหว่างวันที่ 29 เมษายน – 4 พฤษภาคม 2568  เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์อิมแพ็ค เมืองทองธานี   

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Pinky ช่องทาง

Linkedin: Ratthiporn Kalyanamitra/ www.feldhaus-klinker.com   

โทรศัพท์มือถือ 093 7191924 (ติดต่อได้ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน -8 พฤษภาคม 2568)

Share:

คุณวรางคณา สุเมธวัน ผู้หญิงเก่ง 2 วงการ : ทั้งวงการวรรณกรรมไทยและวงการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย

คุณวรางคณา สุเมธวัน ผู้หญิงเก่ง 2 วงการ ทั้งวรรณกรรมไทย นักประพันธ์นวนิยายไทยเรื่องดัง และผู้ส่งเสริม สนับสนุน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ผู้ที่อยากเห็นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยที่ยั่งยืน

ด้านวรรณกรรมไทยนั้น คุณวางคณา สุเมธวันได้ชื่อว่าเป็นนักประพันธ์นวนิยาย ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งในเมืองไทย มีผลงานในนามปากกา “วรางคณา” ที่หลายๆเรื่อง ถูกนำไปสร้างเป็นละคร อาทิเช่น ผู้ดีอีสาน,ปีศาจเเสนกล สามสหายกับคุณนายสะอาด, สะออนสายไหม, หน้ากากแก้ว หลานสาวนายพล ฯ เป็นต้นครับ


และอีกหนึ่งบทบาท ในวงการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ในบทบาท ประธานชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว หรือ ช.ส.ท. ที่มีอายุยาวนานกว่า 40 ปี น้องๆสื่อมวลชน สายการท่องเที่ยวนั้น ทุกคนจะเรียกกันสั้นๆว่า “พี่แอ๊ว” 

พี่แอ๊ว ให้ความทุ่มเท สนับสนุน ร่วมมือ กับองค์กรต่างๆในวงการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยเป็นอย่างมาก และให้น้องๆสื่อมวลชนคนรุ่นใหม่ เข้ามามีส่วนร่วม เปิดรับแนวคิด การจัดการ ร่วมกันทำงานอย่างลงตัว ในการบริหารชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว  

ที่เน้นการจัดกิจกรรมในการช่วยส่งเสริมวงการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ได้ทำงานร่วมกับองค์กรที่มีชื่อเสียง ด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย ฯ ภาครัฐและภาคเอกชนต่างๆ 

เน้นการท่องเที่ยว ในเชิงอนุรักษ์ ศิลปวัฒนธรรมประเพณีไทย โครงการของพ่อ(โครงการพระราชดำริต่างๆ) และการท่องเที่ยวชุมชน ให้เกิดรายได้แก่คนในพื้นที่

ซึ่งพี่เเอ๊วเคยได้รางวัลบุคคลดีเด่นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยด้วยครับ เรียกได้ว่าในหนึ่งชีวิต พี่เเอ๊วขอได้ทำคุณประโยชน์ให้กับส่วนรวม แทนคุณแผ่นดิน ยอมเสียสละเวลาความสุขส่วนตัว มาทำกิจกรรมเพื่อสาธารณะในด้านต่างๆครับ 

เป็นอีกหนึ่งสุภาพสตรีผู้หญิง ที่สามารถเป็นต้นแบบ แม่แบบ สร้างเเรงบันดาลใจ ให้กับเด็กๆและเยาวชน หรือผู้หญิงในยุคเอไอ จนพี่เเอ๊วได้รับ”รางวัลสตรีไทยดีเด่น” จากสภาสตรีแห่งชาติและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ด้วยครับ

“การเป็นนักประพันธ์นวนิยาย เป็นสิ่งที่พี่รัก และเขียนหนังสือมาตลอดหลายสิบปี ดีใจภูมิใจที่ผลงานของเราได้รับการยอมรับ แต่หลังจากมารับตำแหน่ง ประธานชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว ก็จะลดงานเขียนน้อยลง เพราะให้เวลากับเรื่องกิจกรรมการท่องเที่ยวมากขึ้น ทำงาน ประสานงาน กับพี่ๆน้องๆสื่อมวลชน และองค์กรต่างๆภาคการท่องเที่ยว ไหนจะต้องเดินทางไปยังจังหวัดต่างๆ ฉะนั้นด้านการท่องเที่ยว ก็เป็นอีกหนึ่งงาน ที่พี่รัก ไม่แพ้ด้านงานเขียน

ถือว่าตัวเองโชคดีมากๆ ที่ได้ทำสิ่งที่รักหลายอย่าง ในช่วงชีวิตหนึ่ง และตราบใดที่พี่ยังมีแรง ยังมีลมหายใจ ก็ยังคงเจตนารมณ์ ที่จะช่วยเหลือ สนับสนุน ผลักดัน ในกิจกรรมต่างๆในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยค่ะ และขอขอบคุณ องค์กรต่างๆทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการท่องเที่ยว ที่ช่วยสนับสนุน ส่งเสริมกิจกรรมของช.ส.ท.เสมอ และพี่ๆน้องๆสื่อมวลชน ที่เสียสละเวลาส่วนตัว มาช่วยงานของชมรม และที่ลืมไม่ได้คณะกรรมการบริหารของช.ส.ท. ที่อยู่ร่วมกันมาตลอดระยะเวลาหลายปี และอยู่ร่วมกัน เป็นกำลังใจ ต่อไปอีกหลายๆปีนะคะ" พี่เเอ้วกล่าวทิ้งท้าย

Share:

StarCruises เปิดเส้นทางเดินเรือจากกรุงเทพฯ ด้วยเรือ Star Voyager ล่องเรือ 5 คืน สู่เกาะสมุยและสิงคโปร์ เรือสำราญ Star Voyager เริ่มต้นการเดินทางครั้งแรกจากกรุงเทพมหานคร (ท่าเรือแหลมฉบัง) อย่างเป็นทางการ

22 เมษายน 2568, กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย – ด้วยประสบการณ์อันยาวนานกว่า 30 ปีในอุตสาหกรรมเรือสำราญทั้งในเอเชียและภูมิภาคอื่น ๆ StarCruises แบรนด์ล่องเรือที่ได้รับการรีแบรนด์ใหม่อย่างเต็มรูปแบบ ภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เฉลิมฉลองการออกเดินทางครั้งแรกจากประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ด้วยการเดินทางมาถึงของเรือสำราญ Star Voyager ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ประตูสู่ประเทศไทย โดยการเปิดเส้นทางใหม่นี้ นับเป็นอีกก้าวสำคัญของทั้ง StarCruises และประเทศไทยในการตอกย้ำสถานะของไทยในฐานะศูนย์กลางการล่องเรือแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เรือ Star Voyager ได้ปรับปรุงครั้งใหญ่ด้วยงบประมาณกว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมแล้วที่จะมอบประสบการณ์ล่องเรือสุดพิเศษให้แก่ทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ โดยมีจุดเริ่มต้นการเดินทางจากประเทศไทย เส้นทางพิเศษ 5 คืน โดยเริ่มออกเดินทางครั้งแรก 22 เมษายน 2568 และมีรอบเพิ่มเติมในวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 โดยเส้นทางเดินเรือจะจอดแวะที่เกาะสมุยและประเทศสิงคโปร์ การเปิดเส้นทางใหม่นี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มยอดการเติบโตของนักท่องเที่ยวและกระตุ้นการท่องเที่ยวเรือสำราญให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และเกาะสมุย ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

เพื่อเฉลิมฉลองการเปิดเส้นทางเดินเรือใหม่ในครั้งนี้ นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เข้าร่วมพิธีต้อนรับและร่วมแสดงความยินดีในรอบการเดินเรือปฐมฤกษ์ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ร่วมกับ คุณไมเคิล โกห์ ประธานบริษัท StarDream Cruises รวมถึงคณะเจ้าหน้าที่จากภาครัฐและหน่วยงานท่องเที่ยวต่าง ๆ

​“เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้นำเรือสำราญ Star Voyager มาเริ่มต้นออกเดินทางจากประเทศไทยและได้ทำการเปิดตัวและรีแบรนด์ StarCruises ในประเทศไทย” คุณไมเคิล โกห์ ประธานบริษัท StarDream Cruises กล่าว “การเปิดตัวในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการล่องเรือของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมดึงดูดนักท่องเที่ยวหลากหลายกลุ่ม หลากหลายประเทศให้เดินทางมายังเมืองไทย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวให้เติบโตยิ่งขึ้น” 

ด้านนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า “วันนี้นับเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของเราในการยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการเดินเรือของประเทศไทยให้ก้าวไกลยิ่งขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทย” คุณฐาปนีย์ ยังได้กล่าวถึงศักยภาพของประเทศไทยในการต้อนรับนักท่องเที่ยวทางเรือสำราญ และเน้นย้ำว่า “งานในวันนี้สะท้อนถึงความร่วมมือร่วมใจของทีมงานที่ทุ่มเท พันธมิตร และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ที่ร่วมกันทำงานอย่างไม่ย่อท้อ เพื่อผลักดันให้วิสัยทัศน์นี้กลายเป็นความจริง ความทุ่มเทและแรงสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของทุกคนทำให้เราสามารถนำเสนอมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า ทัศนียภาพอันสวยงาม และการต้อนรับอันอบอุ่นของประเทศไทยสู่สายตาชาวโลกได้อย่างภาคภูมิใจ”


2 รอบพิเศษจากกรุงเทพฯ (แหลมฉบัง)

วันที่เดินทาง: 22 เมษายน และ 7 พฤษภาคม 2568

นักเดินทางชาวไทยสามารถเริ่มต้นการผจญภัยบนเรือสำราญได้โดยออกเดินทางจากท่าเรือแหลมฉบัง เส้นทางเดินเรือ 5 คืนนี้จะพาท่านไปสัมผัสเสน่ห์ของเกาะสมุย และความมีชีวิตชีวาของสิงคโปร์ ก่อนกลับมายังกรุงเทพฯ มอบประสบการณ์ท่องเที่ยวมีระดับและวันหยุดที่แสนน่าจดจำให้กับท่าน

ไฮไลต์การเดินทาง: เสน่ห์ของเกาะสวรรค์และความทันสมัยของเมืองใหญ่

เกาะสมุย หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมตลอดกาลทั้งสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ เกาะแห่งนี้จะยิ่งทวีความงดงามและน่าหลงใหลเมื่อเดินทางมาถึงด้วยเรือสำราญ  ขณะที่เรือค่อย ๆ แล่นเข้าใกล้ชายฝั่ง ผู้โดยสารจะได้สัมผัสกับทัศนียภาพอันตระการตาของหาดทรายสีขาวละเอียด ที่เรียงรายไปด้วยต้นมะพร้าวและทะเลสีฟ้าใส เกาะสมุยมีประสบการณ์อันน่าจดจำให้กับนักท่องเที่ยวทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนริมชายหาด การเดินป่าผจญภัยสู่ธรรมชาติ น้ำตกที่ซ่อนตัวอยู่ และอาหารพื้นเมืองรสเลิศ

จุดหมายต่อไปในเส้นทางการเดินทางคือ สิงคโปร์ เมื่อล่องเรือเทียบท่าที่ Singapore Cruise Centre ผู้โดยสารจะได้รับความสะดวกสบายในทุกขั้นตอน โดยสามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยัง HarbourFront Centre และ VivoCity ได้อย่างง่ายดาย

โดยทั้งสองที่เป็นทั้งศูนย์รวมแหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร และรวมระบบขนส่งสาธารณะไว้อย่างครบครัน อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า MRT และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่าง ๆ ทั่วสิงคโปร์ ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลกได้อย่างสะดวก เช่น Gardens by the Bay, Merlion Park รวมถึงย่านวัฒนธรรมที่น่าสนใจอย่าง ไชน่าทาวน์ ลิตเติ้ลอินเดีย และกัมโปงกลาม (Kampong Glam) สำหรับสายช้อปปิ้งก็สามารถเพลิดเพลินกับแหล่งช้อบปิ้งบริเวณใกล้เคียงอย่าง VivoCity, HarbourFront Centre ไปจนถึงร้านบูติกหรูหราบนถนน Orchard Road

ประสบการณ์บนเรือ Star Voyager

ในระหว่างทริปล่องเรือ 5 คืน เส้นทาง “เกาะสมุย – สิงคโปร์” ผู้โดยสารจะได้ใช้เวลา 2 วันเต็มในการล่องเรือกลางมหาสมุทร ท่ามกลางบรรยากาศแสนพิเศษ พร้อมเพลิดเพลินไปกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน กิจกรรมหลากหลาย และอาหารรสเลิศที่คัดสรรอย่างพิถีพิถันบนเรือ Star Voyager โดยประเภทที่พักบนเรือมีให้เลือกหลายรูปแบบ ตั้งแต่ห้องพักแบบ Interior (ห้องไม่มีหน้าต่าง), Oceanview (ห้องวิวทะเล), และ Balcony (ห้องพร้อมระเบียงส่วนตัว) ไปจนถึงห้องสวีทสุดหรูอย่าง Palace Suites ซึ่งมาพร้อมสิทธิ์พิเศษ เช่น การเข้าใช้พื้นที่ส่วนตัวเฉพาะแขกของ Palace, บริการพนักงานดูแลส่วนตัวตลอด 24 ชั่วโมง และประสบการณ์เฉพาะบุคคลที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้โดยสารอย่างแท้จริง

กิจกรรมและความบันเทิงบนเรือมีให้เลือกอย่างจุใจ อาทิ:

-สวนสนุก Adventure Park, สวนน้ำ Aqua Park และสไลเดอร์
-สวนน้ำสำหรับเด็ก และกำแพงปีนหน้าผาจำลอง
-ลานโบว์ลิ่ง, ซิปไลน์ และกิจกรรมในธีมพิเศษต่าง ๆ
-การแสดง Live Performances สุดตระการตา ณ โรงละคร Zodiac Theatre

ไม่ว่าคุณจะมองหาทริปสำหรับครอบครัว คู่รัก หรือการพักผ่อนแบบมีระดับ Star Voyager พร้อมมอบประสบการณ์ล่องเรือระดับโลก ที่ตอบโจทย์ทุกรูปแบบของนักเดินทาง

ข้อมูลการจอง

สำรองที่นั่งหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อบริษัททัวร์พันธมิตรของเรา

หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.rwcruises.com

เกี่ยวกับ StarCruises

ด้วยประสบการณ์อันยาวนานกว่า 30 ปี แบรนด์ Star Cruises ได้รับการรีแบรนด์ในชื่อใหม่ว่า StarCruises ซึ่งสะท้อนภาพลักษณ์ใหม่ที่ทันสมัย มีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของนักเดินทางยุคใหม่ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย StarCruises โฉมใหม่นี้มุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์การล่องเรือที่ผสานความสะดวกสบายเข้ากับความบันเทิงในระดับพรีเมียม ภายใต้แนวคิดหลัก 3 ประการ ได้แก่:

• การล่องเรือที่เข้าถึงได้ง่ายแต่ยังคงความพรีเมียม ราคาไม่สูงเกินเอื้อม ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
• ความบันเทิงบนเรือที่มีชีวิตชีวา อาหารระดับโลก และกิจกรรมในธีมพิเศษ มอบความสนุกสนานให้ตลอดทั้งการเดินทาง
• เรือขนาดกลาง รองรับผู้โดยสารเกือบ 2,000 คน เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางที่เป็นส่วนตัวและเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น

เรือในเครือของ StarCruises จะประกอบด้วยเรือสำราญ Star Navigator และ Star Voyager โดย Star Navigator เริ่มออกเดินทางจากสิงคโปร์ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2568 ก่อนจะถูกส่งไปยังไต้หวันเพื่อให้บริการแบบเอ็กซ์คลูซีฟเป็นระยะเวลา 8 เดือน ในช่วงเวลาดังกล่าว เรือจะนำเสนอเส้นทางการเดินทางที่หลากหลาย เชื่อมโยงชายฝั่งที่งดงามของไต้หวันเข้ากับจุดหมายปลายทางต่าง ๆ ในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งผู้โดยสารจะได้สัมผัสทั้ง ซากุระบานในฤดูใบไม้ผลิ, ทะเลสดใสในฤดูร้อน, และ ใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง

ในขณะที่ Star Voyager เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2568 โดยมี ท่าเรือหลักตามฤดูกาลอยู่ในหลายเมือง ได้แก่ สิงคโปร์, จาการ์ตา,มะละกา, กรุงเทพฯ และโฮจิมินห์ พร้อมแผนการขยายไปยังเมืองอื่น ๆ ในอนาคต
Share:

Recent Posts

ค้นหาบล็อกนี้

Contact Us ::

📲 (+66) 095 469 4415
✉️ Insightoutstory@gmail.com

Add Line📲 Click 👇👇

Translate

🚉 ช.ส.ท.พาเที่ยว นครฯ

Review By Nichapa

POPULAR NEWS

Fanpage Facebook

ป้ายกำกับ

คลังบทความของบล็อก