วราวุธ เปิดอบรม บุคลากร พม. ใช้เครื่อง AED ช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน หวัง นำไปประยุกต์ใช้ในหน้าที่-ช่วยเหลือผู้อื่น

เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดกิจกรรมฝึกอบรม “การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (Basic Life Support) และการใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ หรือเครื่อง AED (Automated External Defibrillator) เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 93 พรรษา โดยมี นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว คณะผู้บริหาร พม. และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ที่ห้องประชุมปกรณ์ อังศุสิงห์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยในงานมีการฝึกอบรมทั้งภาคทฤษฎี ภาคปฏิบัติ ได้รับเกียรติจากพลอากาศเอกสุบิน ชิวปรีชา กรมวังผู้ใหญ่ในพระองค์ และคณะวิทยากรจาก ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ในหัวข้อการฝึกการช่วยเหลือภาวะทางเดินหายใจอุดกั้น (Chocking) , การช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน (CPR) และการใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ (AED) อีกทั้งมีการทดสอบและประเมินผลหลังการฝึกอบรม

นายวราวุธ กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์โรคหัวใจและหลอดเลือดในประเทศไทยยังน่าเป็นห่วง ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย สำหรับประเทศไทยมีข้อมูลจากระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข (Health Data Center) ปี 2568 พบว่ามีจำนวนผู้ป่วยสะสมด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่า 7.08 แสนราย และเสียชีวิต ด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมากถึง 2.9 หมื่นราย โดยพบว่าอาการของโรคหัวใจและหลอดเลือดจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน ดังนั้น

หากมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกควรรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพราะถ้าหัวใจขาดเลือดจนหัวใจหยุดทำงาน ผู้ป่วยจะหัวใจหยุดเต้นและหมดสติ หากผู้ป่วยหมดสติแล้ว ควรรีบทำการกดหน้าอกผู้ป่วย ติดเครื่องกระตุ้นหัวใจ AED และโทรเรียกรถพยาบาลที่สายด่วน 1669 ทันที สำหรับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ได้ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างศักยภาพของทุกคนในทุกระดับ เพื่อให้มีความพร้อมในการรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลาและทุกสถานที่ ดังนั้นการมีความรู้และทักษะในการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน และสามารถใช้เครื่อง AED ได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะในเรื่องของการปฐมพยาบาลและการช่วยชีวิตเบื้องต้น กิจกรรมนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีที่ผู้เข้าร่วมอบรมได้รับทั้งความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ตรงจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันหรือในหน้าที่ความรับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

#ข่าวพม #พม #ศรส #esshelpme #5x5ฝ่าวิกฤตประชากร #พมหนึ่งเดียว #วราวุธศิลปอาชา #ศบปภ #พันธกิจสำคัญ9ด้าน #SDx2025 #SocialDevelopment Expo2025 #จิตอาสาพระราชทาน #ช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน 

Share:

Sheep ปลุกความน่ารักจากญี่ปุ่นสู่หัวใจคนไทย เปิดตัว คอลเลคชั่น “Sheep x Monchhichi ผ่านคอนเซ็ปต์ “Monchhichi in Thailand” พามาสคอตดัง ตะลุยย่านทรงวาด

แบรนด์เคสมือถือแฟชั่นสัญชาติไทย Sheep  สร้างกระแสส่งความน่ารักครั้งใหม่ให้กับตลาดเคสมือถือ ด้วยการเปิดตัวคอลเลคชั่นสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “Sheep x Monchhichi”    ร่วมงานกับ Monchhichi คาแรกเตอร์ตุ๊กตาสุดไอคอนิกจากประเทศญี่ปุ่น    ที่ครองใจแฟน ๆ ทั่วโลก พร้อมเปิดประสบการณ์สุดพิเศษให้แฟนชาวไทยได้สัมผัสมาสคอต ดังตะลุยย่านทรงวาดSheep”เคสสัญชาติไทยผู้ผลิตและออกแบบแก็ดเจ็ตที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดของสินค้าและคำนึงถึงภาพลักษณ์การใช้งานของผู้ใช้ ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้าไทยจากร้าน AppleSheep แหล่งรวมสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์และไอที  เปิดตัวคอลเลคชั่น  Sheep x Monchhichi  มาเอาใจแฟนด่อม Monchhichi ชาวไทย

นายอภินันท์ ตรีรัตน์พิจารณ์ (คุณตุ่ย) Founder&CEO บริษัท ชีพ แก็ดเจ็ต จำกัด ผู้บริหารแบรนด์ Sheep เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า   “มีกระแสเรียกร้องมายาวนาน ให้แบรนด์ Sheep ทำเคส ลาย Monchhichi เพราะต้องการพกเคส พาความน่ารัก ไปทุกๆที่ในทุกวันๆ เราถือเป็นอันดับแรกๆเลยก็ว่าได้ ที่ทำเคสคอแลปกับMonchhichi ซึ่งMonchhichiเป็นตุ๊กตาจากญี่ปุ่น เกิดจากฝีมือการสร้างสรรค์ของบริษัท Sekiguchi ประเทศญี่ปุ่น โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ใบหน้ากลม ดวงตาโต และเอกลักษณ์การดูดจุกนม สื่อถึงความรัก ความอ่อนโยน และความอบอุ่น  Monchhichiครองใจคนทุกเพศทุกวัยและยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องทั่วโลก 

สำหรับคอลเลคชั่น Sheep x Monchhichi ได้นำเสน่ห์ของ Monchhichi มาผสมผสานกับความเป็นแแบรนด์ sheep  ผ่านคอนเซ็ปต์ “Monchhichi in Thailand”    ถ่ายทอดภาพความน่ารักของมาสคอตแดนปลาดิบ  ที่ออกเดินทางมาสัมผัสวิถีไทยอย่างเต็มรูปแบบ  โดยSheep ได้พามาสคอต Monchhichi  ที่มีขนาดสูง 160 เซนติเมตร มาพร้อมกับใส่ผ้าพันคอกันเปื้อน ที่มีสัญลักษณ์ Sheep  ตะลุยเที่ยวเมืองไทย กรุงเทพฯ ย่านทรงวาด  ที่ผสมผสานเสน่ห์วัฒนธรรมเก่าแก่และความทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นการนั่งรถตุ๊กตุ๊ก เดินชมป้ายถนนเก่า และถ่ายภาพกับแลนด์มาร์คที่มีเอกลักษณ์แบบไทย เพื่อสื่อถึงการเชื่อมโยงสองวัฒนธรรมเข้าด้วยกันการพา Monchhichi มาเที่ยวไทยในครั้งนี้ไม่เพียงสร้างความประทับใจให้แฟนคลับเท่านั้นแต่ยังตอกย้ำภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั่วโลก  โดยบรรยากาศวันที่เราพา  มาสคอต  Monchhichi ไปเดินที่ถนนทรงวาด มีแฟนคลับให้การต้อนรับกันแน่นอย่างอบอุ่น  หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป แช๊ะภาพ เป็นจำนวนมาก   


สำหรับเคสคอลเลคชั่น Sheep x Monchhichi
  ดีไซน์เคสที่สะท้อนความเป็นไทย ถ่ายทอดเรื่องราวสวัสดีม่อนชิชิ “Monchhichi in Thailand” ลงบนเคสมือถือด้วยรายละเอียดที่ใส่ใจ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ตัวอักษรไทยเขียนคำว่า “ม่อนชิชิ” ป้ายถนนแบบไทย ไปจนถึงภาพกราฟิกที่บอกเล่าไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวในกรุงเทพฯของม่อนชิชิ   พร้อมเทคนิคการ ถ่ายภาพสินค้าจัดองค์ประกอบ ในรูปแบบ3 มิติ เพิ่มให้ตัวคาแรกเตอร์ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

คอลเลคชั่นนี้มีให้เลือก 2 แบบ2 ลายดีไซน์พิเศษ โดยเน้นโทน สีแดง เป็นสีหลัก ออกแบบมาให้รองรับ iPhone รุ่น 11 – 17 และ Samsung Galaxy S23 Ultra – S25 Ultra นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์เสริมให้เลือกครบครัน ไม่ว่าจะเป็น MagSafe Griptok, MagSafe Wallet, Phone Charm, Mouse Pad รวมถึงเคสสำหรับ iPad   อีกด้วย                                  

คอลเลคชั่น Sheep x Monchhichi วางจำหน่ายแล้ววันนี้ ที่หน้าร้าน Sheep และช่องทางออนไลน์อย่างเป็นทางการของแบรนด์  ให้แฟน ๆ ได้สะสมและพกพาความน่ารักในทุก ๆ วัน   ที่  Sheep Flagship Store ที่เซ็นทรัลเวิลด์    และร้านAppleSheep   9 สาขาด้วยกัน  , เซ็นทรัลลาดพร้าว , แฟชั่นไอส์แลนด์ , เซ็นทรัลรามอินทรา, เซ็นทรัลเวสต์วิลล์ ,เมกา บางนา , ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต 2 แห่ง ,  เซ็นทรัลขอนแก่น ,เซ็นทรัลหาดใหญ่ หรือติดต่อช่องทางออนไลน์ได้ที่    www.applesheepth.com, Line: @applesheep, Facebook: AppleSheep เคส ipadpro มีที่เก็บปากกา, Instagram: applesheepth, Tiktok: applesheepth

Share:

“พงศ์กวิน” เดินหน้า ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยแรงงานไทย ตั้งเป้า ลดอุบัติเหตุ “ชีวิตคนทำงานต้องมาก่อน”

วันที่ 20 สิงหาคม 2568 เวลา 13.30 น. นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดงาน “สัมมนาวิชาการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานระดับนานาชาติ OSH Avenue International Conference 2025 (OAIC 2025)” ณ แกรนด์ฮอลล์ ทรูดิจิทัล พาร์ค สุขุมวิท 101 กรุงเทพฯ โดยมี นายนันทชัย ปัญญาสุรฤทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน และผู้บริหาร สสปท. ให้การต้อนรับ ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และผู้ประกอบการ ร่วมเป็นเกียรติ

นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ เปิดเผยว่า ในวันนี้ ตนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง และถือเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาส มาเป็นประธานในพิธีเปิด งานสัมมนาวิชาการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานระดับนานาชาติ หรือ OSH Avenue International Conference 2025 ที่จัดขึ้นโดยสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) หรือ สสปท. อันมีภารกิจเพื่อส่งเสริมพัฒนาองค์ความรู้ นวัตกรรม การศึกษาวิจัย และให้บริการวิชาการ พัฒนาบุคลากรด้านความปลอดภัยฯ รองรับความจำเป็นในการดำเนินงานทางด้านภารกิจ ด้านทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาประเทศ การจัดงานสัมมนา เชิงวิชาการระดับนานาชาติ OAIC ในครั้งนี้ นับว่ามีความหมายอย่างยิ่ง ในฐานะเวทีระดับนานาชาติ ที่เปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญ จากทั่วโลก ได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ สร้างนวัตกรรมต่างๆ และเชื่อมโยงเครือข่ายระดับสากล เพื่อสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยที่ยั่งยืน สอดคล้องกับนโยบายที่สำคัญ ของกระทรวงแรงงาน

นายพงศ์กวิน กล่าวเพิ่มเติมว่า งานวันนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของแรงงานไทย ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ความปลอดภัยในสถานที่ทำงานไม่ใช่เพียงแค่หน้าที่ แต่เป็นพันธกิจสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความร่วมมืออย่างจริงจัง เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือสุขภาพและชีวิตของพี่น้องแรงงานเรา

“ขอขอบคุณ สสปท. ที่จัดงานนี้ขึ้นมาเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในทุกมิติ ในประเทศไทย รวมทั้งอยากให้ถอดบทเรียนต่างๆ อันล้ำค่าเพื่อมุ่งเน้นให้เห็นว่า “ชีวิตคนทำงาน” ต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด นายพงศ์กวิน กล่าว

ด้าน นายนันทชัย ปัญญาสุรฤทธิ์ ผู้อำนวยการ สสปท. กล่าวว่า การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยที่ยั่งยืน เป็นความท้าทายในการผลักดันความปลอดภัยในการทำงานให้ครอบคลุมแรงงานในทุกกลุ่ม การใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยจะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านความปลอดภัยฯ ในยุคที่มีความเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ๆ ตลอดเวลา เพื่อให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดี และไม่เกิดอุบัติเหตุจากการทำงาน

ทั้งนี้ สสปท. ได้เดินหน้าขับเคลื่อนการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยอย่างยั่งยืน ในทุกภาคส่วนทั้งแรงงานภาคอุตสาหกรรม พนักงานสำนักงาน แรงงานนอกระบบ และแรงงานข้ามชาติอย่างต่อเนื่องในทุกภูมิภาค ผ่านการพัฒนางานวิชาการด้านความปลอดภัยฯ และกิจกรรมส่งเสริมความปลอดภัยในการทำงาน ส่งผลให้สถานประกอบกิจการจำนวนมากสามารถลดสถิติอุบัติเหตุจากการทำงานลงได้อย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงเจตนารมณ์ร่วมกันในการสร้าง “วัฒนธรรมความปลอดภัย” ให้หยั่งรากลึก

Share:

สจล. จัดเสวนา “สืบสานปณิธานบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย” ควบคู่เปิดตัวหนังสือดาราศาสตร์ไทยสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เฉลิมพระเกียรติและฉลอง 65 ปีสถาบัน

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) จัดงานเสวนาเชิงวิชาการในหัวข้อ “สจล. สืบสานปณิธานบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย” (From Vision to Innovation: King Rama IV and the Future of Thai Science) เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย” เนื่องในวันวิทยาศาสตร์ไทย และในโอกาสครบรอบ 65 ปีแห่งการสถาปนาสถาบัน ทั้งยังเป็นเวทีบูรณาการองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และในภูมิปัญญาไทย ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของสถาบันที่มุ่งสร้างนวัตกรรมควบคู่การอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม

งานเสวนาจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม 2568 ณ อาคารหอพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สจล. เป็นประธานเปิดงาน พร้อมปาฐกถาพิเศษนำเข้าสู่หัวข้อเสวนา ซึ่งได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ได้แก่ อาจารย์ภูธร ภูมะธน ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์สังคมสยาม, อาจารย์วรพล ไม้สน นักวิชาการด้านโหราศาสตร์และพยากรณ์ศาสตร์, อาจารย์อารี สวัสดี นักดาราศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านการคำนวณปรากฏการณ์ท้องฟ้า 

เนื้อหาการเสวนาครอบคลุม 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ สังคมสยามใหม่สมัยรัชกาลที่ 3 และ 4 - วิเคราะห์การเปลี่ยนผ่านทางสังคม เศรษฐกิจ และการติดต่อกับโลกตะวันตก การประยุกต์วิชาดาราศาสตร์สู่วิชาโหราศาสตร์และพยากรณ์ศาสตร์ - เจาะลึกความสัมพันธ์ระหว่างศาสตร์แห่งดวงดาวกับการทำนาย การกำหนดเวลามาตรฐานและการคำนวณการเกิดอุปราคา - ถ่ายทอดความรู้เชิงเทคนิคจากการศึกษาของพระจอมเกล้าฯ และการประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน  

นอกจากการเสวนาแล้ว ไฮไลท์ของงาน คือ เปิดตัวหนังสือ “ดาราศาสตร์ไทยสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ” เพื่อเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชนและผู้สนใจ ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับพระราชประวัติ พระปรีชาสามารถ และผลงานด้านวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ และโหราศาสตร์ของรัชกาลที่ 4 โดยมี อ.ภูธร ภูมะธน เป็นผู้เขียน และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทอแสงรัศมี ถีถะแก้ว เป็นบรรณาธิการเล่ม

รองศาสตราจารย์ ดร.คมสัน มาลีสี อธิการบดี สจล. กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ เป็นการต่อยอดโครงการสำคัญของสจล.ในโอกาสครบรอบ 65 ปี ในการจัดสร้างห้องเทิดพระเกียรติรัชกาลที่ 4 ภายในอาคารหอพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช โดยได้เชิญอาจารย์อารี สวัสดี ที่ปรึกษาสถาบันฯมาให้คำแนะนำ และอาจารย์อารี ได้แนะนำอาจารย์ภูธร ให้มาเป็นที่ปรึกษาโครงการจัดทำห้องเทิดพระเกียรติฯ ภายใต้แนวคิด “เมื่อดาราประกายแสงแห่งปัญญา” นำเสนอพระราชประวัติของพระจอมเกล้ารัชกาลที่ 4 ที่เกี่ยวข้องกับด้านวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ และโหราศาสตร์ รวมถึงบริบทสังคมไทยและโลกในเวลานั้น จนสำเร็จ และได้มีพิธีเปิดอาคารเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 โดยได้รับพระกรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เสด็จเปิดงานฯ ซึ่งพระองค์ท่านได้เสด็จพระราชดำเนินรับชมข้อมูลต่าง ๆ ที่จัดแสดงภายในห้องเทิดพระเกียรตินี้ด้วยความสนพระทัยอย่างยิ่ง และทางสถาบันได้ทูลเกล้าถวายหนังสือ “ดาราศาสตร์ไทยสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าฯ” เล่มนี้ที่ได้ร้อยเรียงเรื่องราวโดยละเอียดมากขึ้นให้แด่สมเด็จพระเทพฯอีกด้วย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น ยังความปลื้มปิติให้กับคณะทำงาน และชาวสจล.อย่างหาที่สุดมิได้

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทอแสงรัศมี ถีถะแก้ว ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายสื่อสารองค์กร สจล. ในฐานะบรรณาธิการหนังสือ “ดาราศาสตร์ไทยสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ” กล่าวว่า “ดาราศาสตร์ไทยสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าฯ” เป็นผลงานศึกษาค้นคว้า เขียน และเรียบเรียงโดยอาจารย์ ภูธร ภูมะธน หนึ่งในปรมาจารย์ด้านประวัติศาสตร์ไทย ท่านได้ค้นคว้าเรื่องราว อันทรงคุณค่าของประวัติศาสตร์ไทยมาร้อยเรียงนำเสนอเพื่อมอบความรู้และชวนคิดต่อยอดองค์ความรู้ในด้านต่างๆ จึงขอเชิญชวนให้ผู้สนใจได้ลองที่อ่านหนังสือเล่มนี้ เพื่อได้เห็นโลกทัศน์ และวิธีคิดของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้ารัชกาลที่ 4 ทั้งในด้านพัฒนาการของสังคม เศรษฐกิจ และความเจริญก้าวหน้าของประเทศ การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ความเข้าใจของโหราศาสตร์ไทยสมัยนั้น และยังสร้างแรงบันดาลใจต่อการมุ่งมั่นทำสิ่งใดเพื่อประโยชน์ส่วนรวมให้กับคนรุ่นหลัง รวมถึงความภาคภูมิใจแก่ชาวพระจอมเกล้าลาดกระบังอีกด้วย โดยสามารถอ่านจากหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ได้ที่ลิงค์ https://anyflip.com/hnqmd/ituj/ 

อาจารย์ ภูธร ภูมะธน ผู้เขียนหนังสือ“ดาราศาสตร์ไทยสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าฯ” กล่าวถึงแรงบันดาลใจในการจัดทำหนังสือเล่มนี้ว่า เกิดจาก อาจารย์อารี สวัสดี ซึ่งเป็นผู้ที่มีอิทธิพลและเป็นแรงบันดาลใจให้ตนสนใจและศึกษาเรื่องดาราศาสตร์มานานกว่า 50 ปี โดยหนังสือเล่มนี้ได้ใช้เวลาค้นคว้ามาหลายปี เพื่อรวบรวมหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องให้ได้มากที่สุด และต้องการนำเสนอข้อมูลที่หลากหลายเกี่ยวกับพระองค์ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นชาวสยามที่เป็นแบบอย่างที่ควรศึกษาเรียนรู้

อย่างไรก็ตาม อาจารย์ภูธรยอมรับว่าการเขียนเรียบเรียงงานนี้เป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะต้องค้นคว้าตำราและหลักฐานเอกสารเป็นจำนวนมาก ทั้งจากแหล่งข้อมูลในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงความแตกต่างของ เงื่อนเวลาและภาษาในแต่ละยุคสมัย แต่ท่านก็ได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ร่วมกับทีมบรรณาธิการของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังจนทำให้หนังสือสำเร็จและหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยเติมเต็มองค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์ดาราศาสตร์ไทยให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ภายในอาคารหอพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช ประกอบไปด้วย 

พระราชประวัติของรัชกาลที่ 4 ช่วงชีวิตแห่งการเรียนรู้ก่อนขึ้นครองราชย์ของพระมหากษัตริย์ผู้มีแนวคิดแบบจักรวาลนิยม และหลังขึ้นครองราชย์  

ประวัติศาสตร์สยาม สู่ดาราศาสตร์แห่งอนาคต ตั้งแต่ เกลาดีโอส ปโตเลไมโอส นักภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์ และโหราศาสตร์ชาวโรมันเชื้อสายกรีกโบราณ ผู้ที่เริ่มต้นสนใจด้านดาราศาสตร์ มาจนถึงดาราศาสตร์สมัยอยุธยา สมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น สมัยรัชการที่ 4 ไปจนถึงอนาคตที่จะเกิด สุริยุปราคาเต็มดวง ครั้งถัดไปในประเทศไทย ในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2613

ดวงดาวกับชีวิต รู้จักกับดวงดาวและจักราศี ความสัมพันธ์ระหว่างดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ ผ่าน โปรแกรมผูกดวงหาดาว จัดทำโดยสำนักงานสื่อสารองค์กร สจล. ร่วมกับที่ปรึกษาคุณภาณุ ไชยสิทธิ์ โปรแกรมเฉพาะเพื่อผูกดวงชะตา และรู้จักดาวประจำตัวของเรา

หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับโหราศาสตร์ ของพระจอมเกล้า พระองค์ทรงผูกดวงเมือง ผูกดวงชะตาและตั้งพระนามของพระราชโอรสและพระราชธิดา ร่วมถึงเขียนตำราทางโหราศาสตร์

ห้องโถงใหญ่ เป็นที่ประดิษฐานของ พระสยามเทวาธิราช เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของไทย ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 รวมถึงพระมหาพิชัยมงกุฎ ซึ่งถือเป็นสัญญาลักษณ์ประจำสถาบันฯ และมีการจัดแสดงภาพจำลองปริศนาธรรม “วัดบรมนิวาส” ผลงานจิตรกรรมแบบตะวันตกสุดวิจิตรของ “ขรัวอินโข่ง”

อุโมงค์ดาว ภาพจำลองตำแหน่งดาวในวันที่เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงครั้งถัดไปในประเทศไทย ในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2613 ซึ่งพยากรณ์โดย ดร.ขาว เหมือนวงศ์ และระบุพิกัดโดย อ.อารี สวัสดี ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของห้องเทิดพระเกียรติ รัชการที่ 4 ด้านดาราศาสตร์และโหราศาสตร์แห่งนี้

Share:

SACIT ขับเคลื่อนงานศิลปหัตถกรรมไทยสู่ความยั่งยืนตามแนวคิด ESG ผู้อำนวยการ สศท. มอบใบประกาศเจตนารมณ์แก่ผู้ผลิตงานศิลปหัตถกรรมอย่างยั่งยืน

ผศ.ดร.อนุชา ทีรคานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ SACIT เป็นประธานมอบ “ใบประกาศเจตนารมณ์การร่วมเป็นผู้ผลิตงานศิลปหัตถกรรมอย่างยั่งยืน” แก่ผู้ผลิตงานศิลปหัตถกรรมที่ได้รับการคัดเลือกจำนวน 20 ราย เข้าร่วมกิจกรรมแบ่งปันองค์ความรู้การนำแนวคิด ESG มาใช้ในการผลิตผลงานศิลปหัตถกรรม “การพัฒนาอย่างยั่งยืนตามแนวคิด ESG” ณ ห้องสมุดบรรณศิลปาคาร ชั้น 1 อาคารพระมิ่งมงคล โดยผู้ผ่านการคัดเลือกทั้ง 20 ราย ได้นำเสนอแนวทางการปรับใช้ ESG Business Canvas ในกระบวนการผลิตผลงานศิลปหัตถกรรมของตนต่อคณะกรรมการ โดยการคัดเลือกได้รับเกียรติจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านศิลปหัตถกรรม เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ได้แก่

1. คุณแสงระวี สิงหวิบูลย์ (ประธานกรรมการ) รองผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย 

2. คุณวันวรรษา ชุนจำรัส (กรรมการ) ผู้อำนวยการสำนักพัฒนางานศิลปหัตถกรรมไทย สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย 

3. คุณชาญชัย ฉิมพาลี (กรรมการ) ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และความยั่งยืน สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย 

4. รศ.ดร.รัตนาวรรณ มั่งคั่ง (กรรมการ) ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการจัดการสิ่งแวดล้อม (VGREEN) คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

5. คุณทศพล ศุภเมธีกูลวัฒน์ (กรรมการ) ผู้ก่อตั้ง Blue Pine Ventures Ltd.

โดยคณะกรรมการได้ใช้เกณฑ์ ESG (Environmental, Social, Governance) ในการประเมินศักยภาพของผู้ประกอบการ ทั้งในด้านการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, การจ้างงานและมีส่วนร่วมของชุมชน, การถ่ายทอดองค์ความรู้, การจัดการธรรมาภิบาล และการสื่อสารคุณค่าของผลิตภัณฑ์อย่างยั่งยืน จากการคัดเลือกผู้เข้าร่วมทั้งหมด 20 ราย สู่เวทีการนำเสนอ (Pitching) ในช่วงอบรมเชิงปฏิบัติการ มีผู้ผลิตจำนวน 5 ราย ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็น “ต้นแบบผู้ผลิตงานศิลปหัตถกรรมอย่างยั่งยืน” ซึ่งจะได้รับการติดตาม ลงพื้นที่ประเมินจริง และร่วมการถอดบทเรียน และเรียบเรียงข้อมูลองค์ความรู้เพื่อเป็นกรณีศึกษา (Case Study) ของประเทศ ได้แก่

1. นางสาว จุฑาทิพ ไชยสุระ แบรนด์ JUTATIP – จังหวัดขอนแก่น

ผู้พัฒนางานผ้าย้อมสีธรรมชาติจากพืชท้องถิ่นที่ย่อยสลายได้และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

2. นางสาว สิริปตี พุ่มจันทร์ แบรนด์ YaiSiRi – จังหวัดนครราชสีมา

กลุ่มผู้หญิงผู้สร้างงานหัตถกรรมจากผ้าฝ้ายทอมือ ถ่ายทอดภูมิปัญญาและสร้างรายได้ให้ชุมชน

3. นาย อนิรุทธิ์ รัศมีศรีตระกูล แบรนด์ HOMRAK (ห่มรัก) – จังหวัดนนทบุรี

ผู้นำการเขียนครามด้วยมือผสานนวัตกรรมและเทคนิคดั้งเดิม

3. นาย มนัทพงค์ เซ่งฮวด แบรนด์ Varnicraft – จังหวัดพัทลุง

สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์จาก “กระจูด” วัสดุพื้นบ้านที่สามารถปลูกทดแทนได้และย่อยสลายตามธรรมชาติ

4. นาย พงษ์พันธุ์ ไชยนิล แบรนด์ PANCHANIL (พันชนิล), MUTTIKAN (มัตติกาญ) – จังหวัดนนทบุรี 

งานหัตถกรรมร่วมสมัยจากดินเกาะเกร็ด ยกระดับงานปั้นสู่ตลาดสากล

SACIT และผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ ตรวจเยี่ยม-ติดตาม-ถอดบทเรียนจากภาคสนาม เพื่อให้แนวคิด ESG ถูกนำไปใช้จริงในกระบวนการผลิต SACIT จึงจัดกิจกรรม ลงพื้นที่ตรวจประเมินผู้ผ่านการคัดเลือกทั้ง 5 ราย โดยมีคณะผู้เชี่ยวชาญร่วมสังเกตการณ์ ประเมิน และสัมภาษณ์เชิงลึก พร้อมรวบรวมข้อมูลเชิงประจักษ์ เพื่อนำไปถอดบทเรียนและพัฒนาเป็นองค์ความรู้ต้นแบบ ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ SACIT ให้ความสำคัญกับ 3 หัวใจหลักของ ESG ได้แก่

E: Environment (สิ่งแวดล้อม) เช่น การใช้วัสดุธรรมชาติ วัสดุหมุนเวียน การลดของเสียในกระบวนการผลิต การใช้พลังงานสะอาด

S: Social (สังคม) เช่น การมีส่วนร่วมของชุมชน การส่งเสริมงานแก่ผู้หญิงและผู้สูงอายุ การสืบทอดภูมิปัญญา

G: Governance (ธรรมาภิบาล) เช่น ความโปร่งใส การตั้งราคายุติธรรม การควบคุมคุณภาพ

กิจกรรมภาคสนามมีการใช้เครื่องมือหลายรูปแบบ ได้แก่

การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview), การสังเกตพื้นที่จริง (Observation), การตรวจสอบเอกสารหลักฐาน (Document Review), การทดลองใช้ หรือชมกระบวนการผลิตจริง (Live Demo)

งานศิลปหัตถกรรมไทยต้อง “สืบสาน สร้างสรรค์ ส่งเสริม” สู่ความยั่งยืน การลงพื้นที่ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า แนวคิด ESG ไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับผู้ผลิตงานศิลปหัตถกรรมในชุมชน แต่สามารถประยุกต์ใช้ได้จริง และกลายเป็นแนวทางการพัฒนาที่ "สืบสาน" ภูมิปัญญา, "สร้างสรรค์" การออกแบบที่ตอบโจทย์ตลาด, และ "ส่งเสริม" เศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างยั่งยืน ผู้เชี่ยวชาญพบว่าทั้ง 5 ชุมชนมีความเข้าใจและมีการลงมือปฏิบัติแล้วในหลายด้าน เช่น การเลือกใช้วัสดุในท้องถิ่น การคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์โดยไม่ทิ้งรากเหง้าทางวัฒนธรรม

ESG กับ SDGs: เชื่อมพลังชุมชนสู่เป้าหมายระดับโลก

แนวคิด ESG ที่ SACIT นำมาใช้ในกิจกรรมนี้ มีความสอดคล้องโดยตรงกับ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ โดยเฉพาะ:

SDG 1: ขจัดความยากจน – ด้วยการสร้างรายได้ให้ชุมชนผ่านงานหัตถกรรม

SDG 5: ความเท่าเทียมทางเพศ – การส่งเสริมบทบาทสตรีและกลุ่มเปราะบางในงานผลิต

SDG 8: งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ – การสร้างงานและธุรกิจท้องถิ่น

SDG 12: การบริโภคและผลิตอย่างยั่งยืน – การใช้ทรัพยากรหมุนเวียน ลดของเสียในกระบวนการผลิต

SDG 13: การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ – ด้วยการลดการปล่อยคาร์บอนจากกระบวนการผลิต

SDG 17: ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน – ผ่านเครือข่ายระหว่างรัฐ ผู้เชี่ยวชาญ และชุมชน

จากต้นแบบ 5 ราย สู่แนวทางระดับประเทศ SACIT เตรียมจัดทำ E-BOOK และเรียบเรียงเป็นองค์ความรู้ต้นแบบ เพื่อถ่ายทอดแนวทางการนำ ESG ไปใช้กับการผลิตงานศิลปหัตถกรรมทั่วประเทศ โดยมุ่งหวังให้ ชุมชนไทยสามารถก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง สร้างสรรค์ และยั่งยืน ทั้งในระดับเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม บนฐานรากวัฒนธรรมที่แข็งแรงของไทย

Share:

ชวนฟังเสียง ‘เอเลี่ยนผู้น่ารัก’ เวทีเสวนาวิชาการว่าด้วยสัตว์เลี้ยงต่างถิ่น เมื่อความหลากหลายอาจท้าทายระบบนิเวศไทย

ในอดีตหากเอ่ยถึงคำว่า “สัตว์เลี้ยง” ในประเทศไทย คงหนีไม่พ้น สุนัข แมว ปลา หรือกระต่าย ทว่าปัจจุบันภาพเหล่านั้นกำลังค่อยๆ ขยายตัวไปถึงสัตว์แปลกนานา ชนิด ไม่ว่าจะเป็นกิ้งก่าคาเมเลียน งูแปลกตา นกแก้วสีสดจากต่างแดน หรือแม้แต่แมลงหน้าตาน่ารักที่กลายมาเป็นสมาชิกของครอบครัว เทรนด์การเลี้ยงสัตว์ที่เปิดกว้างนี้บ่งบอกถึงความหลากหลายของความชอบของผู้คนในยุคโลกไร้พรมแดน แต่ในอีกด้านหนึ่ง เทรนด์นี้ก็กำลังท้าทายความเข้าใจของสังคมต่อสัตว์ “ต่างถิ่น” หรือที่เรียกว่า Alien Species ทั้งในแง่ของประโยชน์ที่พวกมันอาจนำมาให้ และผลกระทบต่อระบบนิเวศที่ยังไม่อาจประเมินได้

เพื่อเปิดพื้นที่ให้สังคมได้ร่วมกันทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและหลากหลายมิติ “เครือข่ายเสียงจากป่า” จึงขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมงานเสวนาวิชาการ “เอเลี่ยนผู้น่ารัก” ในวันพุธที่ 6 สิงหาคม 2568 เวลา 13.00–17.00 น. ณ ห้อง Waiting List โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลลาดพร้าว โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพูดคุย ถกเถียง และร่วมกันหาความสมดุลระหว่างความรักสัตว์และความรักธรรมชาติ

เบื้องหลังของการจัดงานครั้งนี้ คือแรงผลักดันจากกลุ่ม “เครือข่ายเสียงจากป่า” เครือข่ายภาคประชาชนที่รวมตัวกันด้วยจิตสาธารณะและหัวใจอนุรักษ์ ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ นักอนุรักษ์ นักกฎหมาย นักสื่อสาร หรือชาวบ้านที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของป่าด้วยตาตัวเอง

ดร.ชัยภัฏ จันทร์วิไล ประธานเครือข่ายเสียงในป่า กล่าวว่า เครือข่ายเสียงในป่านี้ก่อตั้งขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะ “เป็นกระบอกเสียงแทนธรรมชาติ” โดยเฉพาะในวันที่ป่าไม้กำลังลดลงอย่างน่าเป็นห่วง สัตว์ป่าถูกเบียดขับจนออกจากถิ่นที่อยู่ และความขัดแย้งระหว่างคนกับสัตว์ป่าเกิดถี่ขึ้นเป็นประวัติการณ์ เสียงจากป่าที่แท้จริงไม่สามารถพูดออกมาได้ เครือข่ายจึงลุกขึ้นมาสื่อสารแทน เพื่อให้ธรรมชาติไม่เงียบงันจนสายเกินไป

หัวข้อเสวนาในครั้งนี้ จะโฟกัสไปที่ “สัตว์ต่างถิ่น” หรือ Alien Species ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในฐานะสัตว์เลี้ยงและสัตว์เศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกันก็ถูกตั้งคำถามว่าอาจเป็นภัยเงียบต่อระบบนิเวศของไทย การเสวนานี้จะพาเราไปสำรวจแง่มุมต่างๆ ของสัตว์กลุ่มนี้ ทั้งในเชิงบวก เช่น ความน่ารัก ความแปลกใหม่ ความสามารถในการสร้างรายได้ และเชิงลบ เช่น ความเสี่ยงด้านโรค การรุกรานถิ่นที่อยู่ของสัตว์พื้นถิ่น และความเข้าใจผิดที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบยาวนาน

โดยในเวทีเสวนา จะมีผู้เชี่ยวชาญจากหลายแวดวงมาร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ ได้แก่

 • “โปรปุ๋ย” คุณปริญญา ผดุงถิ่น ช่างภาพสัตว์ป่า ที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในประเทศไทย

 • คุณสุทธิลักษณ์ นากผสม นายกสมาคมผู้นิยมสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษ (Exotic Pet) แห่งประเทศไทย ผู้มีประสบการณ์ตรงกับวงการสัตว์เลี้ยงต่างถิ่น

 • สพ.ญ.กัณธิตา ปวีณสกล หรือ “หมอลูกเกด” สัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน Exotic Pet ประจำ Animal Space Rabbit and Exotic Pet Hospital

ทั้งสามท่านจะมาร่วมแบ่งปันองค์ความรู้และประสบการณ์จากมุมมองเฉพาะทาง เพื่อช่วยเติมเต็มภาพความเข้าใจเรื่องสัตว์ต่างถิ่นในหลากหลายมิติ พร้อมชวนสังคมตั้งคำถามสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม

หากวันหนึ่งเราหมดรักหรือหมดแรงดูแลสัตว์แปลกเหล่านี้ เราจะรับมือกับผลกระทบที่ตามมาอย่างไร หากพวกมันถูกปล่อยสู่ธรรมชาติ ระบบนิเวศของไทยจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร หรือแม้กระทั่งการที่กระแสนิยมพุ่งไปยังสัตว์สายพันธุ์ต่างถิ่น จะส่งผลให้สัตว์พื้นถิ่นของไทยถูกลืมหรือไม่

เสวนาครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เวทีพูดคุยเรื่องสัตว์เลี้ยงน่ารัก แต่คือพื้นที่สำคัญในการขบคิดร่วมกันว่า เราจะอยู่ร่วมกับสัตว์ต่างถิ่นอย่างเข้าใจ มีความรู้ และมีความรับผิดชอบได้อย่างไร เพื่อไม่ให้ความรักของเราสร้างบาดแผลให้ธรรมชาติในระยะยาว เพราะสุดท้ายแล้ว ปัญหาอาจไม่ใช่ตัวสัตว์ แต่อยู่ที่วิธีที่มนุษย์เลือกจะอยู่ร่วมกับพวกมัน

Share:

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Recent Posts

ค้นหาบล็อกนี้

Contact Us ::

📲 (+66) 095 469 4415
✉️ Insightoutstory@gmail.com

Add Line📲 Click 👇👇

Translate

🚉 ช.ส.ท.พาเที่ยว นครฯ

Review By Nichapa

POPULAR NEWS

Fanpage Facebook

ป้ายกำกับ

คลังบทความของบล็อก